คงกล่าวได้ว่า ใจกลางธุรกิจของย่านลาดพร้าว คือ ตึกแถวตลอดสองฟากฝั่งที่มีอายุยืนยาวมาพอๆ กับถนน 40 กว่าปีผ่านไป ใต้ถนนเพิ่งมีขบวนรถไฟฟ้าใต้ดินลอดผ่าน หลายคนเริ่มคิดว่า ย่านค้าขายนี้กำลัง “ยกระดับ” ขึ้นเป็น “ทำเลทอง” แต่ไฉน คำว่า “ยกระดับ” อีกคำที่รวมอยู่ใน “ทางยกระดับลาดพร้าว” จึงเปลี่ยน “ทำเลทอง” ให้กลายเป็น “ฝันร้าย” ของพวกเขาไปในพริบตา
ราวเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ตั้งแต่แยกรัชดาภิเษกไปถึงปากทางห้าแยกลาดพร้าว ไม่มีใครที่ไม่มองอ่านตามป้ายผ้าคัดค้านการก่อสร้างทางด่วนจากทางด่วนพิเศษศรีรัชที่ติดอยู่ตามริมเสาไฟฟ้า หน้าร้านรวงต่างๆ ที่ตั้งอยู่บนถนน ...ผืนผ้ายังไม่ทันซีดจาง ตึกแถวหลายห้องยังเรียงรายประตูปิดสนิท ป้ายประกาศขาย เซ้ง ยังแขวนปลิวอยู่ตามหน้าร้าน
มาวันนี้เริ่มมีป้ายผ้าใหม่ๆ ถูกนำขึ้นติดตามหน้าร้าน นับรวมก็เกือบทั้ง 20 กิโลบนสายถนนแห่งนี้แล้ว เพียงแต่ ข้อความใหม่ที่เพิ่มขึ้น เปลี่ยนจากการคัดค้านทางด่วน มาเป็น คัดค้านทางยกระดับลาดพร้าวแทน
ชาวลาดพร้าวหลายคนได้รู้ข้อมูล และแน่ใจแล้วว่า ในเดือนสิงหาคมนี้ กทม.เตรียมประกวดราคา เดินหน้าการก่อสร้างโครงการทางยกระดับลาดพร้าว ...ลางร้ายที่เคยได้ยินมาเริ่มแจ่มชัดเป็นจริงขึ้นทุกขณะ
......................
คืนวันที่ 10 สิงหาคม พรชัย จงภักดี ผู้ประกอบการโทรคมนาคมและโทรศัพท์ ย่านโชคชัย 4 นั่งหน้าห้องประชุมในนามประธานคณะกรรมการประชาชนลาดพร้าว จากถนนรัชดาภิเษก - ลาดพร้าว เชิญ ผอ. สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) คำรบลักขิ์ สุรัสวดี, ผู้แทนจาก สำนักการโยธาฯ กทม., ส.ส. ภูวนิดา คุนผลิน มาตอบข้อซักถาม
คืนนั้น เอกสิทธิ์ ยุวรรณศรี เจ้าของร้านขายข้าวแกงริมถนนตรงข้ามตลาดโชคชัย 4 และดาริกา ยศวัฒนา เจ้าของร้านขายยา ยกมือขึ้นถามว่า “ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วหรือในการก่อสร้าง” พร้อมกับชาวลาดพร้าวอีกเกือบ 500 ราย ที่ยกมือยืนยัน “คัดค้านไม่เห็นด้วยกับโครงการ”
ผู้มาตอบข้อซักถาม ตอบกลับมาว่า “เรื่องทั้งหมดยังไม่ไปไหน พวกเราดูแลอยู่ ถ้าชาวบ้านไม่เอาก็ต้องมีการทบทวนหาทางเลือกอื่นอีกครั้ง”
.......................
วันต่อมาข่าวทางยกระดับแพร่สะพัดไปทั่วลาดพร้าว คำตอบของผู้รับผิดชอบที่เกี่ยวข้องเมื่อคืนไม่ได้ทำให้จิตใจของชาวลาดพร้าวสงบลงได้ ป้ายผ้าอีกหลายผืนถูกแขวนขึ้นตามอาคารพาณิชย์ ตลาด โรงเรียนที่ตั้งอยู่ริมถนน วงสนทนาของคนลาดพร้าวล้วนออกรสไปด้วยเรื่องราวของความหวั่นวิตกถึงความเดือดร้อนที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
เอกสิทธิ์ เพิ่งสร้างครอบครัว เขาย้ายเข้ามาอยู่ตึกแถวริมถนนสายนี้กับภรรยาได้ไม่นาน มีร้านขายข้าวแกงเป็นของตัวเอง ในวันนี้เขาก็เหมือนคนอื่นที่ยังกังวลและไม่มั่นใจว่า คำยืนยันจากการประชุมที่ผ่านมา จะเชื่อถือได้ว่า ทางยกระดับเส้นนี้จะไม่ถูกก่อสร้าง
ทางด้านของ พรชัย แกนนำของผู้คัดค้าน เขาคือนักธุรกิจที่ย้ายเข้ามาอยู่บนลาดพร้าวตั้งแต่ปี 2517 สมัยลาดพร้าวยังคงเป็นทุ่ง เขาเห็นลาดพร้าวถูกพัฒนาขึ้นมาจนเป็นย่านที่อยู่อาศัยหนาแน่น
เขาเล่าว่า “ชีวิตผมอยู่แถวๆ นี้ มีบ้านอยู่ซอยข้างๆ มีที่ทำงานอยู่ริมถนน ผมเห็นถนนสายนี้มาตลอด ...มีคนจากแหล่งอื่นๆ ที่มีบ้านอยู่ในเขตนี้กันเยอะ แต่ก็ไม่ได้มีรถติดสาหัสอะไร จะติดก็เฉพาะช่วงเช้ากับช่วงเย็นเท่านั้น ...การสร้างทางยกระดับไม่ใช่ทางแก้ปัญหาให้กับชาวลาดพร้าว คนกทม.เห็นแล้วว่า วิธีแก้ปัญหาการจราจรที่ถูก คือ รถไฟฟ้าใต้ดิน ที่ถึงจะแพงแต่ก็คุ้ม ถ้าดูตัวอย่างจากทางยกระดับบนถนนรามคำแหง สะพานควาย หรืออย่างแยกรัชดาลาดพร้าว จะเห็นว่าคนย้ายหนีออกไปกันหมดแล้ว เพราะมันค้าขายไม่ได้ ...เราทำมาหากินมาทั้งชีวิต เราไม่ปกป้องไม่ได้”
ด้านหน้าร้านดาริกาถือพู่กันเดินผ่านมา พรชัยเอ่ยปากเรียกมาพูดคุยร่วมกัน เธอมีฝีมือในการเขียนอักษรบนป้ายผ้า และรับอาสาสำหรับงานในด้านนี้ เธอ เปิดร้านขายยาอยู่ตลาดโชคชัย 4 มา 25 ปีแล้ว เธอแสดงความคิดเห็นว่า “ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ริมถนน เหมือนคนริมถนนที่จะได้รับผลกระทบมากกว่าเรื่องยอดขาย แต่มลพิษมันกระทบถึงส่วนรวม โดยรวมแล้วมันเสีย”
ระหว่างพูดคุยร้านของพรชัยก็ได้ต้อนรับผู้ประกอบกิจการอีกหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนมีร้านอยู่ริมถนน ทุกคนเห็นอกเห็นใจกัน และตื่นตัวเต็มที่กับงานที่เคลื่อนไหวอยู่ พรชัย บอกว่า นี่คือผลดีด้านหนึ่งจากปัญหาที่มีร่วมกัน
“เมื่อก่อนบ้านข้างๆ กันเห็นหน้ากันแต่ไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้จักว่าใครทำอะไรอยู่ อย่างที่รู้กันว่าคนกรุงเทพฯไม่ค่อยยุ่งไม่ค่อยสนใจกันหรอก แต่ตอนนี้เรารู้จักกัน มีเบอร์โทรศัพท์กัน พุดคุยกัน เรารู้ว่าใครมีอะไรที่สามารถเอื้อต่อกันได้ทางธุรกิจ เพราะเราผ่านการต่อสู้ร่วมกันมา หลังจากนี้ผมคิดว่า ผมจะ แปรความสัมพันธ์นี้ให้เป็นระยะยาวให้ได้ จะได้สร้างประโยชน์ร่วมกันต่อไป”
........................
ย่านตลาดโชคชัย 4 รถกระบะปิดป้ายผ้าไม่แตกต่างวิ่งไปมาตามท้องถนน เปิดเสียงโทรโข่งดังก้องกล่าวคัดค้านทางยกระดับ
แม่ค้าร้านขายเสื้อผ้าและเครื่องประดับใกล้เคียงกันหยุดฟัง แล้วก็ปรึกษาหารือกับร้านข้างๆ “ถ้ามีการก่อสร้าง ถนนแถวนี้ต้องและแน่ๆ” พวกเขาเป็นห่วงว่าแผงขายของของพวกเขาที่วางอยู่ริมถนนจะถูกห้ามขายไปด้วย ซึ่งทำเลบนทางเท้านั้นอยู่ติดกับป้ายรถเมล์ใหญ่ มีลูกค้าไม่น้อยที่จับจ่ายใช้สอยสินค้าตามแผงของพวกเธออยู่ทุกวี่วัน
ด้านหน้าโรงเรียนถนอมพิศ ก่อนเลิกเรียน คนใช้รถใช้ถนนหยุดมองนักเรียนชั้นป.6 ยืนถือป้ายคัดค้านอยู่ริมถนน และตะโกนร้องว่า “เราไม่เอาทางยกระดับลาดพร้าว เราต้องการรถไฟฟ้าใต้ดิน”
นักเรียนคนหนึ่งบอกด้วยน้ำเสียงมั่นใจแต่ใสซื่อว่า “ถ้าสร้างจะทำให้รถติด ทำให้หน้าโรงเรียนมืด มีรถวิ่งอยู่บนหัว”
เข้าไปในโรงเรียน หัวหน้าฝ่ายบริการ บุญล้ำ นารอด บอกความเป็นห่วงในนามผู้แทน ผู้จัดการโรงเรียนว่า “โรงเรียนเราเป็นโรงเรียนเอกชน เปิดมา 42 ปีแล้ว มีนักเรียนอยู่ประมาณ 2,400 คนมาตลอด ทั้งหมดก็เป็นเด็กที่อยู่ในลาดพร้าว ถ้ามีทางยกระดับ ปัญหาจะเกิดขึ้นกับโรงเรียนแน่นอน จำนวนเด็กที่เข้ามาเรียนจะลดลง เพราะผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็อยากให้ลูกหลานมาเรียนในโรงเรียนที่มีสภาพแวดล้อมดี สวยงาม ถ้าทางยกระดับก่อสร้าง จะเกิดปัญหารถติดหน้าโรงเรียนอีกไม่รู้กี่ปี ยิ่งมีทางยกระดับอยู่ด้านหน้าโรงเรียนจะให้บรรยากาศมืดทึบไม่น่าอยู่ รวมทั้งฝุ่นควันรถที่จะแผ่กระจายไปทั่ว โรงเรียนเราจะสนับสนุนผู้ที่คัดค้านทางยกระดับเต็มที่ ...ตอนนี้กำลังดำเนินการเรื่องจัดตั้งโต๊ะให้ผู้ปกครองมาลงชื่อร่วมคัดค้านด้วย”
.......................
จรินทร์ สุนทรถาวรวงศ์ ผู้ประกอบธุรกิจอยู่ติดริมถนนอีกรายหนึ่ง บอกว่า “คนบนถนนตรงนี้ ส่วนหนึ่งย้ายมาจากสะพานควาย หนีปัญญานี้มาครั้งหนึ่งแล้ว ถ้ามีทางยกระดับมาคร่อมลาดพร้าวอีก ร้านค้าก็เจ๊งหมด ลูกหลานเราเกิดมาปุ๊บก็คงต้องเห็นแต่ตอม่อสะพานแล้ว มันเป็นความเสียหายที่ประเมินคุณค่าไม่ได้ ...เส้นทางลาดพร้าวเป็นเส้นทางปิดอยู่แล้ว มีเส้นทางอื่นๆ เคียงขนานอยู่ คนที่อยู่รอบนอกจะใช้เส้นทางอื่น จะมีก็แต่คนลาดพร้าวเท่านั้นที่ใช้เส้นทางนี้ไปกลับที่ทำงาน ซึ่งก็มีรถมากมาตั้งแต่ไหนแล้ว การแก้ไขระบบขนส่งปัญหาจราจร คือนำ รถไฟฟ้าใต้ดิน มาอำนวยความสะดวกให้คนที่นี่”
.....................
เสียงของการคัดค้าน ทางเลือก ความคิดเห็น ดังขึ้นเซ็งแซ่ทั่วลาดพร้าว ในขณะที่มือยังค้าขายสินค้า ในใจกลับวิตกว่า ร้านตนเองจะถูกเวนคืนหรือไม่ หากมีการก่อสร้าง ทั้งฝุ่น ทั้งรถติด จะทำให้รายได้ตกลงไปเพียงใด และถ้าสะพานสร้างเสร็จแล้ว ผลกระทบ เสียง มลพิษ ความมืดใต้เงาสะพานที่ตามมาจะอยู่ไปชั่วกาล
พวกเขาบอกว่า “รัฐทำอะไรหน้าบ้านเขา โดยไม่ปรึกษาหารือพวกเขาก่อน”
“รัฐนึกจะทำอะไรก็ทำ แล้วบอกอีกว่ามีแต่คนเห็นด้วย บนถนนสายนี้มีร้านค้าขายเปิดมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีขึ้นไป ผลกระทบที่ตามมาเรื่องการค้าต้องเกิดขึ้นแน่ๆ สภาพแวดล้อม ทัศนียภาพต้องเสียไปแน่ๆ คนลาดพร้าวต้องการรถไฟฟ้าใต้ดินมากกว่า สร้างเสร็จเนื้อที่บนผิวจราจรก็ไม่เสียไป รัฐควรมาสำรวจว่า มีรถวิ่งยาวตั้งแต่บางกะปิไปถึงปากทางกี่คัน มีรถวิ่งเข้าซอยกี่คัน ดูความจำเป็นว่าปริมาณของใครมีมากกว่า แล้วควรจะทำประชาพิจารณ์ จะได้รู้ว่าคนคิดเห็นกันกับโครงการนี้อย่างไร ไม่ได้จะให้เอามาตัดสินว่าจะทำหรือไม่ทำ ถ้าคนไม่เห็นด้วยว่าเพราะอะไร รัฐก็ต้องเอาเหตุมาค้านกันว่าทำไมถึงจะทำ คนจะได้มีส่วนร่วมในการตัดสินด้วย” สุทัศน์ เดชะรินทร์ ร้านขายวัสดุก่อสร้าง ให้ความเห็น ก่อนที่จะหันไปคุยกันเรื่องเดียวกันกับ อัมรา รุ่งเจริญ ร้านขายเครื่องปรับอากาศที่อยู่ข้างๆ
......................
ในขณะเดียวกันกับที่ชาวลาดพร้าวตอนกลางและตอนท้ายกำลังอยู่ในสถานการณ์คุกรุ่น ชาวลาดพร้าวแถวต้นซอยก็มิได้วางใจว่าทางด่วนพิเศษศรีรัช – แยกรัชดาลาดพร้าว จะมีการเปลี่ยนเส้นทางใหม่
เรืองรวี ประดิษฐ์วิทยา เจ้าของร้านขายแว่นตาและนาฬิกา ลาดพร้าวซอย 4 บอกว่า 6 ปีที่แล้วร้านของเธออยู่ซอย 1 เป็นหนึ่งในจำนวนหลายร้อยที่ถูกเวนคืนเพื่อสร้างสถานีรถไฟฟ้า แต่เธอทำใจได้ว่าเป็นการเวนคืนเพื่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อส่วนรวม
หลังจากนั้น เธอไปกู้หนี้ยืมสินหาร้านใหม่ย้ายมาอยู่ที่ลาดพร้าวซอย 4 ...โครงการใหม่ที่เธอเพิ่งรับทราบได้ไม่นาน ทำให้เธอร้องทุกข์ว่า “พวกเราที่ทำมาหากินจ่ายภาษีสร้างความเจริญให้กับประเทศ แต่กลับถูกทำร้ายซ้ำเติมอีกแล้วด้วยเงินภาษีของพวกเราที่หามาอย่างยากลำบาก”
นอกจากนั้นเธอยังสนใจจะเข้าร่วมคัดค้านกับกลุ่มคนรัชดาถึงบางกะปิ เพื่อให้มั่นใจที่สุดว่าจะไม่มีโครงการใดๆ ที่มิได้อยู่ใต้ดินเกิดขึ้นบนถนนลาดพร้าวอีก
.......................
พรชัย ปิดท้ายแทนชาวลาดพร้าวว่า “คนเมืองค่อนข้างมีความคิดความอ่าน มีความรู้ ถ้าไม่มีอะไรมาโดนเขาตรงๆ ก็ยากที่จะชักจูงโน้มน้าวให้ลุกขึ้นมาทำอะไรได้ ตอนนี้ผมเชื่อว่าทุกฝ่ายคงรับรู้แล้วว่าเราคัดค้าน ... พวกเรารวมพลังกัน ไม่มีการจ้างมา วานมา เราคิดอย่างไรพูดอย่างไร ภาครัฐต้องฟังเรา”