xs
xsm
sm
md
lg

แมลง ประโยชน์และรายได้ที่ไม่อาจมองข้าม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ประโยชน์และผลิตผลที่ได้จาก “แมลง” มีมากมายเหลือคณานับ จนสมัยนี้แมลงไม่ได้ใช้ชีวิตตามยถากรรมในแหล่งที่มันเคยอยู่อีกแล้ว มันได้รับการยกระดับขึ้นเป็น “แมลงเศรษฐกิจ” ที่คนนำมาเพาะเลี้ยงประคบประงมอย่างดีในฟาร์ม แรงงานของแมลงเก็บเกี่ยวผลผลิตที่นำมาขายในราคาแพง ความขยันของมันเพิ่มลูกผลให้สวนผลไม้ของเกษตรกร เนื้อหนังมังสาของมันพลีแล้วให้คนนำมาทำเป็นอาหาร ..ภูมิปัญญาในการคัดเลือกสายพันธุ์ เทคนิค และวิธีการเลี้ยงอันชาญฉลาดของเกษตรกร ได้พัฒนาให้แมลงเหล่านี้มีศักยภาพเต็มกำลัง และกลายมาเป็นส่วนสำคัญในวงจรระบบเศรษฐกิจของชาติ

ชันโรง -ถูกมองข้ามมานานที่สุด

หลายคนพอได้ยินชื่อ ชันโรง อาจนึกภาพไม่ออกว่าเจ้าผึ้งประเภทนี้หน้าตาอย่างไร จริงๆ แล้วเจ้าแมลงตัวเล็กจิ๋ว หน้าตาคล้ายผึ้งนี้มีอยู่ทั่วไปในบ้านเรามานานแสนนาน

ชันโรง เป็นแมลงสังคมกลุ่มเดียวกับผึ้ง แต่ไม่มีเหล็กไน ไม่ดุร้าย มีขนาดเล็กกว่าผึ้งพันธุ์ประมาณ 2 - 3 เท่า แพร่กระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ มีชื่อพื้นบ้านทางภาคเหนือว่า ตัวขี้ตังนี หรือ แมลงขี้ตึง ภาคใต้เรียก อุง ภาคอีสานเรียก แมลงขี้สูด ภาคตะวันตกเรียก ตัวตุ้งติ้ง หรือ ตัวติ้ง ภาคตะวันออกเรียก ตัวชำมะโรง หรือ แมลงอีโลม

ชันโรงเป็นแมลงที่ปรับตัวเก่ง มันอาศัยในรูอยู่ตามชอกหลืบ โพรงต้นไม้ (ทั้งที่ยืนต้นมีชีวิตที่อยู่ และยืนต้นตาย) โพรงใต้ดิน คนเมืองก็เห็นมันได้ตามท่อเหล็ก ท่อประปา รูเสาบ้าน ไปจนถึงรูเสาไฟฟ้า

คนสมัยก่อนนำปล่องที่ชันโรงก่อเป็นท่อยาวมาเป็นเชื้อไฟ ยางไม้ และไขผึ้ง นักสะสมพระนำมาอุดฐานพระเครื่อง ชาวอีสานนำมาอุดรูแคน แผ่นไม้ระนาดเอก โปงลาง แต่ประโยชน์ของชันโรงที่สร้างความตื่นตะลึงให้ชาวโลกหันมาสนใจ คือ ความสามารถของชันโรงในการผสมเกสร

รุ่งโรจน์ เจริญโพธิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดจันทบุรี บอกแววของชันโรงที่ฉายชัดจนถูกดึงเข้าสู่วงการแมลงเศรษฐกิจในราวปี 2540 – 2542 ว่า แม้ว่า รัง น้ำผึ้ง และเกสรของชันโรงจะให้คุณค่าทางโภชนาการสูง มีราคาแพงกว่าน้ำผึ้งทั่วๆ ไป แต่ก็เป็นของหายาก ประเด็นสำคัญ คือ ชันโรงช่วยในการผสมเกสรให้พืชสวน ซึ่งมีประโยชน์มากต่อการเกษตร

“ผึ้งจะหากินในรัศมีได้ถึง 1 – 3 กิโลเมตร แต่ชันโรงถึงจะตัวเล็กกว่ามาก มีรัศมีหากินได้ไม่ไกล ไม่เกิน 300 เมตร มันจึงต้องดูดน้ำหวานจากดอกไม้ทุกดอก สะสมเกสร ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงในการผสมเกสร คุณสมบัตินี้เป็นประโยชน์ต่อการจัดการและควบคุมชันโรงให้ตอมดอกไม้ของพืชเป้าหมายได้ รวมทั้ง ชันโรงไม่มีนิสัยเลือกชอบเก็บเกสรดอกไม้ จะเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อย แม้ว่าพื้นที่เพาะปลูกจะมีขนาดเล็ก ก็ไม่มีปัญหาว่าชันโรงจะไม่ลงตอม ชันโรงไม่มีนิสัยรังเกียจของเก่าหรือของใช้แล้ว มันจะตอมดอกไม้ทุกดอกไม่ว่าดอกไม้นั้นจะผ่านแมลงชนิดอื่นลงตอม และทิ้งกลิ่นไว้แล้วก็ตาม ในขณะที่ผึ้งจะไม่ลงตอม นอกจากนั้น ชันโรงยังมีอายุยืนถึง 6 เดือนในสภาพทำงานหนักทำให้มีโอกาสผสมเกสรได้นานด้วย” ผู้อำนวยการศูนย์ฯ อธิบาย

สำนักงานเกษตรจังหวัดจันทบุรี รายงานว่า ปัจจุบันเกษตรกร 90 รายในจังหวัดจันทบุรีเลี้ยงชันโรงเป็นแมลงเศรษฐกิจ ผลพวงที่ได้จากน้ำหวานหรือเกสรเป็นเพียงส่วนประกอบจากมูลค่าที่ได้จากการนำชันโรงไปรับจ้างผสมเกสรตามสวนผลไม้ หรือขายพันธุ์ชันโรงให้แก่เกษตรกรที่สนใจรายอื่นๆ ทั่วประเทศ

ผู้อำนวยการศูนย์ฯ เล่าว่า จันทบุรี ตราด เป็นเมืองผลไม้ คนเลี้ยงชันโรงจะได้รับการว่าจ้างให้เอาชันโรงไปผสมเกสรในฤดูที่พืชพันธุ์ออกดอก ครั้งละ 500 บาทต่อ 1 ลัง ผลไม้ติดลูกมากกว่าเดิมเยอะมาก เงาะเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่าตัว ทุเรียนติดลูกดกสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกในบรรดาแมลงผสมเกสรที่ลงตอมดอกทุเรียนและเงาะจะเป็นชันโรงถึงร้อยละ 80 % โดยเฉลี่ยผลผลิตของเกษตรกรเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 % “...เราประสบความสำเร็จสูงในแง่ขยายพันธุ์ชันโรงเพื่อผสมเกสรเป็นเกณฑ์ ตอนนี้เริ่มมีชาวญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนซื้ออุปกรณ์ให้คนไทยเลี้ยง เพราะเห็นว่าชันโรงสามารถเพิ่มผลผลิตได้จริง”

การเลี้ยงชันโรงเพื่อผสมเกสร ก่อประโยชน์แก่เกษตรกรโดยตรง เพราะการติดผลของพืชผลหลายชนิดต้องอาศัยการผสมเกสรที่มีประสิทธิภาพของชันโรง ผลผลิตของพืชผลที่เพิ่มขึ้นคำนวณเป็นเม็ดเงินออกมาแล้วมีจำนวนมหาศาล วิธีการเลี้ยงก็ไม่ยาก สามารถนำมาเลี้ยงในกล่องขนาดเล็ก ใช้เนื้อที่ในการเพาะเลี้ยงน้อย และเคลื่อนย้ายกล่องไปตามไร่ในสวนที่ต้องการใช้ชันโรงผสมเกสรได้สะดวก ปัจจุบันแรงงานในการผสมเกสรของชันโรงกระจายอยู่ตั้งแต่ภาคเหนือจรดใต้ และคาดว่าชันโรงจะได้รับการส่งเสริมให้เกิดการเลี้ยงอย่างแพร่หลาย อนาคตของ ชันโรง จะกลายเป็นผู้นำของเหล่าฝูงแมลงในการผสมเกสรอยู่ตามสวนต่างๆ ทั่วประเทศ

จิ้งหรีด - จากความนิยม “เปิบพิศดาร”

อันที่จริง จากภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดกันมา คนไทยเราเลือกชนิดแมลงที่นำมาเป็นอาหารนานแล้ว นักกีฏวิทยาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เคยเปิดเผยไว้ว่า ในประเทศไทยมีแมลงกว่า 194 ชนิดที่นำมาบริโภคกัน ตั้งแต่ แมลงปีกแข็ง, ปลวก, หนอนผีเสื้อ, จักจั่น, แมลงปอ, ผึ้ง, มด, ต่อ, ตั๊กแตน ฯลฯ

จิ้งหรีด เป็นแมลงอีกชนิดหนึ่งที่ติดอยู่ในอันดับต้นๆ เมื่อนำมาคั่ว หรือ ทอด ก็เป็นอาหารจานเด็ดที่หากใครได้ชิมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่อร่อย ทั้งยังเป็นอาหารที่ ให้สารอาหารโปรตีนสูง ป้องกันโรคขาดสารอาหารได้

จิต พุ่มวง เธอขายแมลงทอดที่ตลาดนัดจตุจักรมา 6 ปีแล้ว เธอเล่าว่า ช่วงปีแรกๆ แมลงทอดยังไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่นัก เพราะคนกรุงส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักการกินแมลง เวลาขายเธอต้องเชิญชวนให้ชิมก่อน ผ่านมาในช่วงกลาง แมลงทอดกลายเป็นอาหารที่ทุกคนอยากลิ้มลอง เพราะมีการเผยแพร่ทางสื่อมากขึ้น มีนักวิชาการออกมารับรอง ว่าแมลงทอดมีประโยชน์ ไม่มีไขมัน กินแล้วไม่อ้วน จิตบอกว่า “ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ขายดีที่สุด หลังๆ มาก็จะมีลูกค้าประจำวนเวียนมาซื้อไม่ขาด อย่างแมลงทั้งหมดที่ขายอยู่ ซื้อมา 1,500 บาท ขายหมดทุกวัน ถึงจะได้กำไรไม่มาก แต่ก็พออยู่ได้”

ทว่า ความคิดของผู้ที่มีหน้าที่ในด้านการส่งเสริม จิ้งหรีดกลับมีทิศทางสวนกระแสไปในทางตรงข้าม “เกษตรกรไทยตื่นตัว ในการเลี้ยงจิ้งหรีดในเชิงการค้ามากในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา แต่ไม่มีการทำตลาด และเรื่องของราคา ทำให้การเลี้ยงจิ้งหรีดตกกระแสไปในที่สุด”

ผอ.รุ่งโรจน์อธิบายต่อว่า “จิ้งหรีดเลี้ยงง่ายใช้แม่พันธุ์ 2 ตัว กับตัวผู้ 1 ตัว แค่นี้ก็ออกลูกออกหลานได้เป็นพันตัว เพราะแม่จิ้งหรีดจะออกไข่ได้ถึง 1,000 ฟอง วางไข่ได้ถึง 4 รุ่น พอโตเต็มวัยอายุ 2 เดือนก็เริ่มผสมพันธุ์ได้แล้ว ความที่เลี้ยงง่ายเกษตรกรก็เลี้ยงกันเป็นกระแส หันไปทางไหนก็มีแต่คนถามขายจิ้งหรีด แต่ไม่มีคนซื้อ ราคาก็ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ...จิ้งหรีดความจริงก็เป็นแมลงศัตรูพืช ตอนนี้ทางศูนย์จึงไม่ส่งเสริมให้เลี้ยงจิ้งหรีดอีก”

อย่างไรก็ตาม การเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดของชาวบ้าน ก็ยังคงดำเนินอยู่ในรูปแบบเป็นธุรกิจรูปแบบขนาดกลางและขนาดย่อม ปัจจุบันยังมีชาวบ้านเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดทองดำ และจิ้งหรีดทองแดงส่งขายเป็นอาหารทางภาคอีสาน ผลิตส่งให้กับฟาร์มสัตว์เลี้ยงต่างๆ เพื่อใช้เป็นอาหารให้กับกบ งู และคนที่เลี้ยงปลาตู้ ไปจนกระทั่งการเลี้ยงจิ้งหรีดส่งออกขายเป็นอาหารกระป๋องในต่างประเทศ

คมกริช คล้ายแก้ว พ่อค้าจิ้งหรีดบริเวณตลาดขายปลาในตลาดนัดจตุจักร เล่าว่า “ผมเลี้ยงจิ้งหรีดอยู่ 7 บ่อที่อยุธยา ทำมา 2 – 3 ปีแล้ว ลูกค้าที่มาซื้อจะเป็นพวกเลี้ยงปลา เพาะจิ้งหรีดรุ่นหนึ่งจะขายได้เป็น 1,000 บาท ปีหนึ่งออกมาไม่รู้กี่รุ่นจนนับไม่ถูก ...ตลาดก็ยังดีอยู่และคิดว่าน่าจะขยายได้มากกว่านี้ เพราะปลามังกร ปลาแรด มันกินอยู่ตลอดเวลา ผมขายที่นี่ทุกวัน จิ้งหรีดขายถุงละ 30 บาท ขายหมดตลอด”

ส่วนจิต เธอเล่าให้ฟังถึงพ่อค้าคนกลางที่เธอไปรับซื้อแมลงมาจากเขาว่า “ร้านที่ขายแมลงให้เป็นร้านของ คุณสมชาย ยิ้มพันวงศ์ อยู่หลังวัดไผ่ตัน ที่นั่นจะมีแมลงทุกชนิดที่รับซื้อมาจากต่างจังหวัด พอซื้อมาเค้าก็จะล้างและแยกออกเป็น 5 กิโล นำไปแช่แข็งไว้ทำให้มีขายได้ตลอดปี เพราะแมลงไม่ได้ออกทุกฤดู”

จากคำบอกเล่า สถานการณ์การเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดในวันนี้ แม้จะยังไม่แน่ชัดว่าจะเป็นไปในทิศทางใด แต่ก็ยังคงเป็นแมลงเศรษฐกิจที่น่าจับตามอง

ผึ้ง -แมลงที่ไม่ได้รับความสนใจ

การเลี้ยงผึ้งในประเทศไทย เริ่มเมื่อประมาณปี 2496 แต่ก็ยังอยู่ในวงจำกัด ไม่แพร่หลาย การเลี้ยงผึ้งเป็นแมลงเศรษฐกิจเริ่มขึ้นอย่างจริงจังในปี 2519 - 2522 จากนักธุรกิจเอกชนในประเทศรวมกลุ่มกันจัดตั้งบริษัทประกอบธุรกิจเลี้ยงผึ้ง โดยว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวไต้หวันมาเป็นผู้บริหารกิจการและการดำเนินงานได้รับผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ และในช่วงเดียวกันได้มีผู้ประกอบอาชีพเลี้ยงผึ้งชาวไต้หวันเป็นจำนวนมากเข้ามาประกอบอาชีพเลี้ยงผึ้งในจังหวัดเชียงใหม่ และลำพูน ซึ่งเข้าใจว่าเป็นนักวิชาการเกษตรชาวไต้หวันที่เข้ามาปฏิบัติงานจนครบวาระและกลับไปไต้หวันแล้ว กลุ่มนี้ได้กลับเข้ามาในไทยอีกครั้งในรูปของผู้ประกอบธุรกิจอาชีพเลี้ยงผึ้งอย่างเต็มตัว

ปี 2523 กรมส่งเสริมการเกษตรจึงจัดตั้งฝ่ายส่งเสริมและอนุรักษ์พันธุ์ผึ้ง และศูนย์ส่งเสริมและอนุรักษ์พันธุ์ผึ้ง 5 ศูนย์ เพื่อดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาการเลี้ยงผึ้งให้แพร่หลายมากขึ้น มาจนถึงปัจจุบันไทยถือว่าเป็นผู้เลี้ยงผึ้งเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศเอเชีย มีผู้เลี้ยงทั่วประเทศประมาณ 20,000 ราย หรือประมาณ 5 แสนรังและยังมีศักยภาพในการเลี้ยงอีกมากสำหรับเกษตรกรที่สนใจที่จะเลี้ยงผึ้งเป็นอาชีพ

พันธุ์ของผึ้งที่ส่งเสริมและมีการเลี้ยงกันมากที่สุด คือ ผึ้งพันธุ์ (Apis mellifera) ซึ่งมีขนาดตัวผึ้งใหญ่กว่าผึ้งโพรงแต่เล็กกว่าผึ้งหลวง เป็นผึ้งที่นำเข้ามาเลี้ยงจากทวีปยุโรป บางครั้งจึงมีผู้นิยมเรียกว่า ผึ้งฝรั่ง หรือ ผึ้งอิตาเลียน

ผอ.รุ่งโรจน์ อธิบายถึงคุณลักษณะผึ้งพันธุ์ที่โดดเด่นกว่าผึ้งไทย และเหมาะในการนำมาเลี้ยงมากกว่า คือ ผึ้งพันธุ์ จะสร้างรังในที่มืด ทำให้นำมาเลี้ยงในภาชนะที่จัดไว้ได้ และง่ายต่อการปฏิบัติงาน รังผึ้งพันธุ์แต่ละรัง จะมีประชากรผึ้งงานอยู่ในรังรวงถึง 20,000 - 50,000 ตัว การที่มีประชากรผึ้งมาก ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการจัดสรรหน้าที่ทำงานกันในหมู่วรรณะผึ้งงาน ทำให้ผึ้งเก็บอาหารได้ในปริมาณมาก นอกจากนั้นผึ้งชนิดนี้ยังมีพฤติกรรมในการสะสมอาหาร และไม่ทิ้งรังเหมือนผึ้งไทย ซึ่งเท่ากับเป็นการประกันทรัพย์สินของคนเลี้ยงผึ้งที่ประกอบกิจการนี้เป็นอาชีพ ทำให้คนเลี้ยงผึ้งมั่นใจในจำนวนผึ้งที่ตนมี และสามารถวางแผนงานจัดการเกี่ยวกับการเพิ่มหรือลดจำนวนรังผึ้งได้อย่างมีมีประสิทธิภาพด้วย

ผลผลิตที่ได้จากผึ้งล้วนแล้วแต่มีราคา ผอ.รุ่งโรจน์ จำแนกแจกแจงให้ฟังตั้งแต่ตัวผึ้ง แรงงาน ไปจนถึงผลผลิตที่แบ่งปันมาจากผึ้ง ตัวอย่างแรก การเพาะพันธุ์ผึ้งนางพญา (The Queen) ขาย ตัวละ 300 บาท แต่หากเป็นนางพญาสาวจะยังไม่มีราคา ต้องผ่านการผสมพันธุ์ก่อนคุณค่าจึงจะสูงขึ้น

“ในวันที่อากาศดี ๆ ท้องฟ้าแจ่มใส ผึ้งนางพญาจะบินออกจากรัง เมื่อผึ้งตัวผู้จากรังแถวๆ นั้นเมื่อได้รับกลิ่นของผึ้งนางพญาก็จะพากันบินติดตามไปเป็นกลุ่ม การผสมพันธุ์จะเกิดขึ้นในระยะความสูงตั้งแต่ 50 - 100 ฟุต ถ้าต่ำหรือสูงกว่านี้ก็จะไม่มีการผสมพันธุ์ ผึ้งนางพญาตัวหนึ่งจะผสมพันธุ์กับผึ้งตัวผู้ครั้งหนึ่งประมาณ 7 - 10 ตัว หรือบางทีอาจถึง 30 ตัว ระยะเวลาในการผสมพันธุ์ประมาณ 10 - 30 นาที ผึ้งนางพญาจะเก็บน้ำเชื้อของผึ้งตัวผู้ไว้ในถุงเพื่อนำมาใช้งานได้ตลอดอายุไข โดยไม่ต้องมีการผสมพันธุ์อีกเลย หลังจากนั้นอีก 2 – 3 ปี ผึ้งนางพญาจะออกไข่ประมาณ 1,200 ฟองต่อวัน หรือบางตัวอาจถึง 2,000 ฟองต่อวัน ดังนั้นในตอนนี้ตามฟาร์มผึ้งจึงหันมาเพาะพันธุ์นางพญาขายกันมากขึ้น” ผอ.รุ่งโรจน์เล่า

การเพาะพันธุ์ผึ้งในกล่องขายก็สร้างรายได้เป็นที่น่าพอใจ จากราคารังละ 1,800 บาท ถึง 3,000 บาท ในกล่องจะมีผึ้งครบทุกวรรณะ เกษตรกรที่ซื้อรังผึ้งไป สามารถนำไปขยายรังเลี้ยงเองได้ แต่ละรังขยายได้ปีละ 3 ถึง 4 รัง นอกจากนั้นยังได้ประโยชน์จากแรงงานผึ้ง คือนำรังผึ้งมาวางในสวนดอกไม้หรือผลไม้ที่ดอกเริ่มบานในอัตรา 1 รัง ต่อพื้นที่ 1 ไร่ ปล่อยให้ผึ้งหาน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ ภายใน 1 ปีเกษตรกรสามารถเก็บน้ำผึ้งได้รังละ 30 ถึง 50 ลิตรนำไปบรรจุขวดขนาด 1 ลิตร จำหน่ายราคาขวดละ 180 บาท

การเก็บเกสรขาย ก็เป็นอีกรายได้หนึ่งที่ตลาดในประเทศญี่ปุ่นรับซื้อไม่อั้น เกสร ที่ว่าคือ เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ของดอกไม้ที่ผึ้งไปเก็บรวบรวมไว้ โดยเอาตัวลงไปคลุกเคล้ากับอับเกสร ให้เกสรติดตามตัว และนำกลับมาเก็บยังรังเพื่อใช้เป็นอาหารประเภทโปรตีนสำหรับประชากรในรัง โดยเฉพาะใช้เลี้ยงตัวอ่อน เกสรมีโปรตีนเป็นพื้นฐาน และมีองค์ประกอบของแร่ธาตุต่างๆ และวิตามินครบทุกชนิด เมื่อเก็บขาย เกสร จะมีราคากิโลกรัมละ 250 บาท

ผลผลิตอีกชนิด คือ รอยัลเยลลี (rayal jelly) มีลักษณะสีขาวคล้ายครีมหรือนมข้นหวาน ผึ้งงานจะนำรอยัลเยลลีที่ผลิตขึ้นมาไปเลี้ยงตัวอ่อนที่จะเจริญไปเป็นผึ้งนางพญา แต่เพราะนมผึ้งหายาก ผลิตได้เพียงวันละ 1.5 - 3.3 กรัม ต่อผึ้งงานทั้งรัง (60,000 ตัว) ในการเลี้ยงผึ้งเพื่อเก็บนมผึ้งเป็นการค้าจะเก็บได้เพียงวันละ 5 -10 กรัม และเก็บได้ 3 วันเท่านั้น นมผึ้งจึงมีราคาแพง กิโลกรัมละ 2,500 บาท กระทั่งตำราจีนยกย่องใช้เป็นยาอายุวัฒนะ

นอกจากนั้น รวงผึ้ง (Bee Comb) ตัวอ่อนและดักแด้ผึ้ง ไขผึ้ง พรอพอลิส ทุกอย่างล้วนขายเป็นราคาได้

ผอ.รุ่งโรจน์ บอกว่า แม้ว่าการเลี้ยงผึ้งเป็นอาชีพจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ส่วนใหญ่ผู้เลี้ยงจะเลี้ยงเป็นอาชีพเสริม คือมีอาชีพหลักที่มีรายได้ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ลงทุนเลี้ยงไปแล้วก็ได้ค่าตอบแทนสูงไปด้วย แต่ปัญหาใหญ่สำหรับการเลี้ยงผึ้ง คือ สินค้าที่ได้มาจากผึ้ง ไม่ได้รับการส่งเสริมให้เกิดความนิยมอย่างจริงจังในหมู่คนไทย

“น้ำผึ้งของไทยได้รับความนิยมจากต่างชาติมากจนตีตลาดจีนแตก รอยัลเยลลี หรือเกสร มีตลาดต่างประเทศรับซื้อจนผลิตของไม่ทัน แต่คนไทยเรากลับกินน้ำผึ้งไม่เป็น และไม่นิยมกินน้ำผึ้งที่ได้มาจากการเลี้ยงทั้งๆ ที่ความบริสุทธิ์ก็ไม่ได้แตกต่าง” ผอ.รุ่งโรจน์ พูด

...คงต้องยอมรับว่า คนทั่วไปแม้จะรู้ว่าน้ำผึ้งมีประโยชน์ แต่พอให้พูดว่ามีอะไรบ้าง หลายคนก็นึกไม่ออกไม่สามารถอธิบายออกมาได้ ...มันเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่คุณประโยชน์ของผึ้ง หรือแมลงอีกหลายชนิด ที่ต่างชาติสนใจให้ความสำคัญ แต่กลับถูกมองข้ามโดยคนไทยด้วยกันเอง การจะทำให้แมลงอยู่รอดได้ในระบบเศรษฐกิจ ปัจจัยสำคัญน่าจะอยู่ที่ความนิยมในบ้านเราเองด้วย ของในบ้านเราขายในบ้านเรา น่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ยั่งยืนมากกว่าการมองหา หรือพึ่งพาตลาดต่างแดนแต่เพียงอย่างเดียว

************

คุณประโยชน์ที่ได้จากผึ้ง

น้ำผึ้ง (Honey) เป็นอาหารสำหรับผู้ที่อ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลด หรือผู้ที่เพิ่งฟื้นจากไข้หรือคนชรา บำรุงประสาท และสมองให้สดชื่นแจ่มใส แก้ท้องผูก ท้องอืดท้องเฟ้อ เสริมสร้างพลังแก่นักกีฬา ใช้ดองผลไม้สุกกันไม่ให้เน่าเปื่อย ใช้สมานแผลสดให้หายเร็วขึ้น ใช้เป็นเครื่องสำอางถนอมผิวหน้า

เกสรผึ้ง (Pollen) ช่วยบำรุงผู้ป่วยซึ่งมีร่างกายซูบผอม เสริมสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายให้ดีขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย ช่วยควบคุมระบบประสาทให้อยู่ในสภาพปกติสำหรับผู้มีประสาทอ่อนไหวง่าย ช่วยในการเสริมสร้างเม็ดโลหิตแดง สำหรับผู้ที่มีโลหิตน้อยหรือโลหิตจาง ชะลอความชรา บำรุงเส้นผมให้ดกดำและหงอกช้า แก้โรคภูมิแพ้ ความดันโลหิตสูง ไมแกรน ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ไม่เลือกว่าจะเป็นท้องผูกหรือท้องเดิน

รอยัล เยลลี่ (Royal Jelly) เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยกระตุ้นฮอร์โมน ยับยั้งความแก่ชรา ช่วยให้เจริญอาหาร บรรเทาอาการอ่อนเพลีย บำรุงสมอง ช่วยให้เด็กเล็กที่เจ็บป่วยร่างกายไม่แข็งแรงหรือเด็กที่เจริญเติบโตผิดปกติให้เจริญเติบโตตามวัย

ไขผึ้ง หรือ ขี้ผึ้ง ช่วยสมานแผล ใช้เป็นเครื่องสำอาง ครีมทาหน้า ลิปสติก นำมาทำเทียนไข ผลิตแผ่นรังผึ้งเทียม นำมาใช้ในงานเภสัชกรรม งานทันตแพทย์ งานหล่อแบบต่างๆ รวมถึงนำมาเป็นส่วนประกอบของวัสดุกันน้ำ ยาขัดมันพื้น เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องหนัง

ยางไม้ หรือ พรอพอลิส (Propolis) เป็นส่วนผสมของยารักษาโรคผิวหนัง ป้องกันโรคเหงือกบวม แผลในปาก เจ็บคอ และหลอดลมอักเสบ เป็นอาหารที่ให้พลังงาน บำรุงร่างกาย ช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันการปัสสาวะรดที่นอนในเด็ก

ตัวอ่อนและดักแด้ผึ้ง (Larva and Pupa) เป็นยาช่วยบำรุงร่างกาย เหมาะสำหรับบุรุษที่ต้องการความแข็งแกร่ง

พิษผึ้ง (Bee Venom) รักษาโรครูมาติซั่มหรือปวดข้อ หอบหืด โรคหัวใจบางชนิด ปวดเอว จิตใจฟุ้งซ่าน
กำลังโหลดความคิดเห็น