ปลาปิรันย่า ถูกกรมประมงยึดได้เกือบ 500 ตัวในรอบปีที่ผ่านมา บางทีการเข้มงวดปราบปราบ อาจสร้างความกดดันให้ผู้ที่ครอบครองมัน จนต้องนำปลาปิรันย่าพวกนี้ไปปล่อยลงแม่น้ำธรรมชาติ ซึ่งอาจจะก่ออันตรายต่อไปให้สัตว์น้ำดั้งเดิม
กุ้งขาว (Penaeus vannamei) ที่ไทยเพิ่งนำเข้ามาเลี้ยงได้ไม่กี่ปี โรคร้ายที่มากับมัน ทำให้กุ้งกุลาดำป่วยตายล้างบาง หากมันหลุดรอดออกไป และสามารถปรับตัวมีชีวิตในแหล่งน้ำธรรมชาติได้ อาจส่งผลร้ายต่อสัตว์น้ำอีกหลายชนิดในน่านน้ำไทย ‘ไข่และสัตว์น้ำ’ ที่ติดมากับน้ำอับเฉาจากท้องเรือ ไม่แน่ว่าหากปรับตัวแพร่พันธุ์ในบ้านเราได้ จะเกิดมหันตภัยอย่างไรต่อไปในอนาคต
การคมนาคมที่ไปมาถึงกันหมด ทำให้สิ่งมีชีวิตหลากหลายเดินทางแพร่กระจายไปในรูปแบบที่แตกต่างทั่วโลก บางชนิดแอบติดโดยสารมากับเรือเดินสมุทร เรือประมง รถยนต์ เครื่องบิน หรือบางชนิดถูกหมายตัวมาเพื่อการเพาะเลี้ยงทางเศรษฐกิจ บางชนิดนำเข้ามาให้นักนิยมพืชสวยสัตว์แปลกโดยเฉพาะ ชนิดพันธุ์ต่างแดนต่างๆ ที่ไม่เคยอยู่ในระบบนิเวศดั้งเดิมเหล่านี้ เมื่ออพยพเข้ามาลงหลักปักฐานอยู่ร่วมกับชนิดพันธุ์ท้องถิ่นอย่างถาวร และไม่รบกวนสมดุลของระบบนิเวศ จะถูกเรียกว่า ‘เอเลี่ยน สปีชี่ส์’ (alien species) แต่บางพวกที่เข้ามาแล้วสร้างความเสียหาย มันแข็งแรงดุร้าย มันแย่งอาหารหรือทำลายสิ่งมีชีวิตเจ้าถิ่น รวมทั้งในที่อยู่ใหม่ของมันไม่มีศัตรูธรรมชาติคอยควบคุมประชากร มันจึงแพร่พันธุ์อย่างเร็วและระบาดไปทุกหย่อมหญ้า พวกมันถูกเรียกว่า ‘ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน’ (invasive alien species)

ผู้รุกรานที่สั่งตรงมาเพราะแปลกและสวยงาม
จรัลธาดา กรรณสูต รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยผลการจับกุมปราบปรามการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ของกองตำรวจป่าไม้ ระหว่างปี 2543 ถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า ตำรวจป่าไม้พบปลาที่อันตราย ห้ามมีไว้ในครอบครอง หรือ นำเข้ามาในราชอาณาจักร คือ ปลาปิรันย่า 8 ตัว ปลาฉลามปากเป็ด และปลาสเตอเจี้ยน กว่า 100 ตัวในตลาดนัดสวนจตุจักร ยอดรวมทั้งหมดในปีที่ผ่านมา สามารถจับกุมและยึดปลาปิรันย่าได้เกือบ 500 ตัว
ปลาปิรันย่า เหล่านี้เป็นปลาบริเวณลุ่มแม่น้ำอะเมซอนและโอริโนโคในทวีปอเมริกาใต้ ถูกนำเข้ามาประเทศไทยเพื่อเลี้ยงเป็นปลาตู้ แต่หากหลุดเข้าไปในระบบนิเวศของไทยและแพร่พันธุ์ไปแล้วตามธรรมชาติจริง ก็จะเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานอย่างร้ายกาจ เพราะมันขยายพันธุ์ได้เป็นจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว มีนิสัยดุร้ายเป็นปลานักล่า และกินเนื้อ
ผู้บริหารจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งรายหนึ่ง ซึ่งเคยอยู่ในกรมประมง เล่าว่า แม้จะมีการเข้มงวดแค่ไหน ก็ยังมีการลักลอบนำปลาปิรันย่าจำนวนมากเข้ามาจากต่างประเทศ ส่วนที่มีคนแจ้งเข้ามาว่าพบเห็นปลาปิรันย่าในแหล่งน้ำธรรมชาตินั้น หลังจากตรวจสอบก็พบว่าเป็น ปลาพาคู (Pacu) หรือ ปลาจาระเม็ดน้ำจืด เป็นปลาในครอบครัว Characidae เมื่อโตเต็มที่จะกินผลไม้และเมล็ดพรรณพืชเป็นอาหาร ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์เหมือนปลาปิรันย่า เขาเล่าต่อว่า “เจ้าหน้าที่ยังตรวจสอบไม่ได้ทั้งหมดว่า มีปลาปิรันย่าในแหล่งน้ำธรรมชาติจริงหรือเปล่า... ส่วนการนำ ปลาพาคู เข้ามาเพาะเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ถึงมันจะไม่กินเนื้อ ก็น่าจะนำเข้ามาเลี้ยงเพื่อความสวยงามอย่างเดียวเท่านั้น เพราะต่อไปมันอาจจะเหมือน ปลานิล หรือ ปลาหมอเทศ ซึ่งก็เป็นสัตว์ต่างถิ่นเหมือนกัน เดี๋ยวนี้แพร่กระจายไปทั่ว แย่งอาหารปลาธรรมชาติ กินกุ้งในนากุ้ง สร้างความเสียหายให้ชาวนากุ้งอย่างมาก”

ผู้บริหารจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งรายหนึ่ง ซึ่งเคยอยู่ในกรมประมง เล่าว่า แม้จะมีการเข้มงวดแค่ไหน ก็ยังมีการลักลอบนำปลาปิรันย่าจำนวนมากเข้ามาจากต่างประเทศ ส่วนที่มีคนแจ้งเข้ามาว่าพบเห็นปลาปิรันย่าในแหล่งน้ำธรรมชาตินั้น หลังจากตรวจสอบก็พบว่าเป็น ปลาพาคู (Pacu) หรือ ปลาจาระเม็ดน้ำจืด เป็นปลาในครอบครัว Characidae เมื่อโตเต็มที่จะกินผลไม้และเมล็ดพรรณพืชเป็นอาหาร ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์เหมือนปลาปิรันย่า เขาเล่าต่อว่า “เจ้าหน้าที่ยังตรวจสอบไม่ได้ทั้งหมดว่า มีปลาปิรันย่าในแหล่งน้ำธรรมชาติจริงหรือเปล่า... ส่วนการนำ ปลาพาคู เข้ามาเพาะเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ถึงมันจะไม่กินเนื้อ ก็น่าจะนำเข้ามาเลี้ยงเพื่อความสวยงามอย่างเดียวเท่านั้น เพราะต่อไปมันอาจจะเหมือน ปลานิล หรือ ปลาหมอเทศ ซึ่งก็เป็นสัตว์ต่างถิ่นเหมือนกัน เดี๋ยวนี้แพร่กระจายไปทั่ว แย่งอาหารปลาธรรมชาติ กินกุ้งในนากุ้ง สร้างความเสียหายให้ชาวนากุ้งอย่างมาก”

วายร้ายอีกตัว ที่น้อยคนรู้ว่าเป็นผู้รุกรานจากต่างถิ่น เพราะสร้างปัญหามานานและเห็นกันจนชาชิน คือ ‘หอยเชอรี่’ (Pomacea canaliculata Lamarck) แต่เดิม หอยเชอรี่ เป็นสัตว์พื้นเมืองของทวีปอเมริกาใต้ เรียก หอยโข่งอเมริกาใต้ หรือเป๋าฮื้อน้ำจืด ถูกนำเข้ามาประเทศไทยราวปี 2526 เพื่อมาทำฟาร์มเลี้ยงเป็นอาหารและเลี้ยงประดับตู้ปลาที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ส่งขายประเทศญี่ปุ่น ต่อมาถูกปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติและขยายพันธุ์ไปทั่ว รุกรานหอยโข่ง และหอยพื้นเมืองของไทยจนเกือบสูญพันธุ์ กัดกินต้นข้าวของชาวนาไทยทั่วประเทศ ...ถึงเมื่อก่อนมันจะสวยงามอย่างไร วันนี้มันคือ ‘ศัตรูที่หนึ่ง’ ของชาวนาชาวสวนที่ไม่มีวันกำจัดสิ้น
ผู้รุกรานอีกราย คือ ‘ปลาซัคเกอร์’ (Hypostomus spp.) หรือที่รู้จักกันดีในนาม ปลาเทศบาล มีถิ่นกำเนิดในประเทศปานามา คอสตาริกา และอเมริกากลาง ถูกนำเข้าไทยมาเลี้ยงเป็นปลาตู้ ...วันนี้ถามนักตกปลาหรือชาวประมงจะรู้ดีว่า มันแพร่พันธุ์ไปทั่วท้องน้ำหลักจากที่คนปล่อยมันลงแหล่งน้ำธรรมชาติ ซัคเกอร์ อดทน กินเก่ง แย่งอาหารปลาพื้นเมือง และดูดกินไข่ปลาอื่นๆ ตามหน้าดินด้วย

ผู้รุกรานที่นำเข้ามาเพื่อการเพาะเลี้ยง
‘กุ้งขาว’ (Litopenaeus vanamei) กุ้งทะเลขนาดกลาง ความยาวสูงสุด 23 เซนติเมตร พบทั่วไปในแถบชายฝั่งทะเลของมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ นิยมเลี้ยงกันในอเมริกากลางและใต้ มีวงจรชีวิตคล้ายกับกุ้งทะเลทั่วไป แต่อดทนโรคได้สูง สามารถปรับตัวอยู่ได้ในน้ำเค็มต่ำสุด (2 ส่วนในพันส่วน) แม้กุ้งขาวจะว่ายน้ำเป็นฝูง แต่ก็ไม่ใช่สัตว์สังคมจึงมีนิสัยก้าวร้าวและทำร้ายกุ้งตัวอื่น ปัญหาสำคัญในการเพาะเลี้ยงกุ้งขาวคือ โรค Taura syndrome (TS) ซึ่งเป็นไวรัสที่ร้ายแรงที่สุดในกุ้งที่ติดมาพร้อมกับมัน ไวรัส Taura ทำให้กุ้งตาย 40 - 90% ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ไทยเราก็เริ่มนำเข้า ‘กุ้งขาว’ มาเพาะเลี้ยงประมาณปี 2540 - 2541
“ผมเป็นคนเดียวที่คัดค้านการนำกุ้งขาวเข้ามาเลี้ยง เพราะเห็นตัวอย่างจากต่างประเทศว่าเป็นกุ้งที่เป็นพาหะนำโรคหลายชนิดเข้ามาสู่กุ้งและปลาในประเทศ” ผู้รู้คนเดิมเล่าว่า ช่วงแรกของการทดลองเลี้ยงกุ้งขาวร่วมกับกุ้งกุลาดำ ปรากฏว่ากุ้งกุลาดำตายหมด แต่เพราะการเลี้ยงกุ้งกุลาดำกำลังประสบปัญหาโรคระบาด พ่อแม่พันธุ์กุ้งคุณภาพดีขาดแคลน และ กุ้งกุลาดำแคระแกรนเลี้ยงไม่โต แต่ราคาของลูกกุ้งกลับปรับตัวสูง ผู้เลี้ยงกุ้งจึงหันมาเลี้ยงกุ้งขาวกันมากขึ้น “ถ้าลองไปดูแถวแม่กลอง บางปะกง ก็จะเห็นการเพราะเลี้ยงกุ้งขาวเป็นจำนวนมาก ถ้าหลุดออกไปและเจริญได้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือสามารถปรับตัวไปอยู่อาศัยในน้ำจืดได้ จะส่งผลกระทบมากมายมหาศาลกว่านี้มาก อีกทั้งไทยมีสายน้ำติดต่อกันตลอดแนวชายฝั่งด้วย กุ้งกุลาดำ กุ้งเหลืองหางฟ้า กุ้งแชบ๊วย กุ้งตะกาด และกุ้งทะเลชนิดอื่นๆ ในแหล่งน้ำไทยก็จะมีแนวโน้มติดเชื้อ Taura ได้ ถ้าหากเชื้อโรคแพร่กระจายสู่แหล่งน้ำของเราแล้ว พ่อแม่พันธุ์กุ้งในธรรมชาติจะติดเชื้อทั้งหมด“

ในเวทีการเสวนา โครงการประเมินผลกระทบการนำเข้ากุ้งขาวเข้าประเทศไทย วันที่ 10 มกราคม 2547 ซึ่งสรุปไว้ในเวปไซด์ ไทยฟาร์มโซน ระบุไม่ได้ว่ามี กุ้งขาว หลุดลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติไปแล้วหรือไม่
นอกจากนั้น วิทยากรที่มาร่วมในเวทีเสวนา ยังระบุว่า เชื้อ Taura ในกุ้งขาวมีความรุนแรงระดับสูง เพราะสามารถติดเชื้อในสัตว์ได้หลายชนิด บางชนิดตาย บางชนิดไม่แสดงอาการแต่มีเชื้อ ส่วนการทดลองสุ่มตัวอย่างทั่วประเทศพบกุ้งขาวในบ่อดินทั่วประเทศมีการปนเปื้อนของเชื้อ Taura 7.10% นอกจากนั้นยังพบการปนเปื้อนของเชื้อ Taura ในกุ้งก้ามกรามด้วย ปัจจุบันกรมประมงประกาศห้ามนำกุ้งขาวเข้าประเทศ จนกว่าจะทำการศึกษาเรื่องผลกระทบของกุ้งขาวให้แน่ชัด
อย่างไรก็ตาม มีตัวอย่างที่ชัดเจนถึงผู้รุกรานที่มากับการนำเข้าเพื่อเพาะเลี้ยง คือ ‘ปลาดุกรัสเซีย’ จากถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศแอฟริกาใต้ คนไทยนำเข้ามาจากประเทศลาวเพื่อเลี้ยงดูเล่น ปลาดุกรัสเซีย เป็นปลาขนาดใหญ่ มีนิสัยดุร้าย ก้าวร้าว และมีลำตัวขนาดใหญ่ ต่อมามีผู้มอบให้กรมประมงเพื่อเพาะเลี้ยง และผสมข้ามพันธุ์กับปลาดุกอุยของไทย ได้เป็นลูกผสมที่รู้จักแพร่หลาย ในนาม ‘บิ๊กอุย’ หรือ ปลาดุกอุยรัสเซีย แต่นิสัยก็ยังคงดุร้ายอยู่ ในตอนแรกก็เพาะเลี้ยงอยู่ในบริเวณ แต่ต่อมาเกิดภาวะน้ำท่วม บิ๊กอุยหนีออกจากบ่อเลี้ยงลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ แย่งอาหารปลาชนิดอื่น ผสมข้ามพันธุ์ กินไข่และตัวอ่อนของปลาดุกพื้นเมือง รวมทั้งกัดกินปลาชนิดอื่นๆ ทั่วไปในลำน้ำ หรือ การนำเข้าลูกหอยแคลงจากมาเลเซียมาเลี้ยง ปรากฏว่าได้นำ ‘หอยขี้นก’ ติดเข้ามาด้วย หอยขี้นกพอเข้ามาก็ระบาด เจาะเปลือกกินหอยแคลง ทำให้หอยแคลงของไทยตายไปเป็นจำนวนมาก

ผู้รุกรานที่เข้ามาอยู่แต่เก่าแก่
สืบค้นดูก็แทบจะเรียกได้ว่า ผู้รุกรานเหล่านี้เข้ามานานจนดูเหมือนเป็นชีวิตดั้งเดิมของประเทศ หากจะยกชื่อขึ้นมาคงไม่มีคนไทยคนไหนที่ไม่รู้จัก
“อย่าง ‘ปลาหมอเทศ’ เป็นพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่นที่พบแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำของไทย คนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าสร้างความเสียหายให้ธรรมชาติ หมอเทศปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมเมืองไทยได้ดีมาก ปากแม่น้ำตอนนี้มีแต่ปลาหมอเทศ ไม่รู้ว่ามันจะแย่งอาหารปลาพื้นเมืองมากแค่ไหน หอยเชอรี่ ปลาซัคเกอร์ และปลาดุกรัสเซีย ก็ไม่มีใครประเมินผลกระทบได้แน่ชัด ยังมีชนิดพันธุ์ที่เหลือที่ยังไม่มีใครรู้แน่ว่าไปแย่งอาหาร หรือคุกคามสัตว์น้ำพื้นเมืองขนาดไหน” เจ้าหน้าที่จากกรมประมงเล่า
ไม่เพียงแค่สัตว์น้ำเท่านั้นที่อยู่ในฐานะผู้รุกรานได้ พืชก็เช่นกันและมันยังเป็นที่สนิทสนมกับคนไทยมาช้านาน อย่าง ‘ผักตบชวา’ ซึ่งเข้ามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ช่อดอกสวยงามเหมือนกล้วยไม้ ทำให้หลายๆ ประเทศรวมทั้งไทยนำมาปลูก มันขยายพันธุ์รวดเร็วมาก มันจึงถูกทิ้งลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติและแพร่ระบาดในแม่น้ำลำคลองทั่วประเทศ กีดขวางทางเดินของน้ำ และการจราจรทางน้ำ เป็นที่อาศัยของงูหรือหนู เมื่อตายก็ทับถมเน่าเสีย สร้างความเสียหายให้แม่น้ำลำคลองทุกทั่วหัวระแหง อีกชนิด คือ ‘ยูคาลิปตัส’ ถูกนำเข้ามาปลูกเพื่อทำเยื่อกระดาษและทำเฟอร์นิเจอร์ตั้งแต่ปี 2493 เป็นต้นไม้ที่ขึ้นได้ดีในทุกที่และโตเร็ว ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ รากมันแผ่ขยายไปดูดสารอาหารแร่ธาตุต่างๆ จากดิน ทำให้ต้นไม้อื่นแม้กระทั่งหญ้าก็ไม่สามารถขึ้นได้ ในที่สุดดินเสื่อมโทรมเป็นบริเวณกว้าง หรือ ‘ไมยราบยักษ์’ ที่ถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในประเทศแถบอเมริกากลาง และทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ถูกนำเข้าไทยราวปี 2490 เพื่อนำมาใช้เป็นพืชบำรุงดิน ปัจจุบันขยายพันธุ์ไปทั่วประเทศและกีดขวางทางเดินของน้ำทำให้แม่น้ำตื้นเขิน นอกจากนั้นยังมี หญ้าขจรจบ สาบเสือ ผักเป็ดน้ำ สาบหมา จอก ขี้ไก่ย่าน ผกากรอง ทุกชนิดเอ่ยไปก็แทบไม่มีใครที่ไม่รู้จัก แต่พวกมันล้วนไม่ใช่พืชพันธุ์ของบ้านเรา เมื่อเข้ามาก็ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ต้องใช้เงินในการกำจัดจำนวนมหาศาล และที่สุดก็ยังหาทางแก้ไขไม่ได้

เอเลี่ยนฯ ที่แอบเข้ามาจากน้ำอับเฉาเรือ
ดร.เจิดจินดา โชติยะบุตตะ นักวิชาการประมง 8 ว. ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน ให้ภาพใหม่ที่ยังไม่มีใครคิดถึงนี้ว่า บริเวณท่าเรือจะมีการถ่ายน้ำทิ้งจากท้องเรือ (น้ำอับเฉาเรือ) และการทำความสะอาดเรือ ส่วนท่าเทียบเรือประมงและสะพานปลา พบว่าน้ำทิ้งจากการล้างทำความสะอาดสัตว์น้ำแปรรูปสัตว์น้ำ การล้างทำความสะอาดท่าและเรือประมง ไหลลงสู่แหล่งน้ำโดยตรง โดยไม่ผ่านการดักเศษชิ้นส่วนสัตว์น้ำและระบบบำบัดใดๆ จึงมักจะมีคราบไขมัน เศษซากสัตว์น้ำ และเศษขยะมูลฝอยลอยอยู่บนผิวน้ำ น้ำทิ้งเหล่านี้จะมีสารอินทรีย์ปนเปื้อนเป็นจำนวนมากที่มีผลต่อคุณภาพน้ำและสิ่งมีชีวิตในบริเวณนั้น
ดร.เจิดจินดา บอกว่า สารพิษบางประเภทที่อยู่ในน้ำใต้ท้องเรือเป็นเวลานาน จะเกิดการสะสมและตกตะกอน เมื่อลงไปอยู่ในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ สิ่งมีชีวิตที่ได้รับสารเหล่านี้เข้าไปในร่างกาย ก็จะเกิดการต่อต้านและปรับตัวให้ผิดแผกไปจากวัฎจักรที่พวกมันเป็นอยู่ ทั้งออกมาในรูปของสัตว์ที่มีลักษณะพิการ หรือพืชที่มีลักษณะเป็นพิษ รวมทั้งเชื้อโรค ประเภทไวรัส หรือแบคทีเรียที่จะออกมาทำลายระบบนิเวศน์ใต้น้ำ และหากพวกมันเข้าไปเติบโตในน่านน้ำอื่น ก็จะเข้าไปทำลายระบบนิเวศน์ในที่ใหม่ ซึ่งจะกระจายออกไปเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น ซึ่งความรุนแรงของเหตุการณ์ประหลาดเหล่านี้ จะค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้น หากเรามีการจัดการที่ไม่เหมาะสม แต่เหตุที่ยังเรียกว่า ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เข้ามารุกราน ในวันนี้ไม่ได้เพราะยังมีการศึกษา
ผู้รู้ยกกรณีตัวอย่างที่ใกล้เคียงและยกขึ้นมาประกอบภาพเหล่านี้ให้ชัดเจนขึ้นว่า “มีปลาโลมา และปลาวาฬที่มาตายเกยหาดบ้านเรา นักวิชาการพยายามจะผ่าซากศพดู ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร แต่ก็ยังระบุแน่ชัดไม่ได้ เพราะกว่าจะได้ตัวมาก็ถูกย่อยสลายเน่าเปื่อยไปแล้ว ได้แต่สันนิฐานในเบื้องต้นว่า อาจเกิดจากการที่มันกินสัตว์ที่มีพิษเข้าไปก็ได้ เพราะเคยมีปรากฏการณ์อย่างนี้ให้เห็นในต่างประเทศมาแล้ว คือ แพลงตอนที่สะสมพิษอยู่ในตัวหอยแมลงภู่ ทำให้ชาวประมงประเทศฟิลิปปินส์นับร้อยป่วยและเสียชีวิตเพราะระบบหายใจขัดข้อง หรือ ปรากฏการณ์ ‘Plankton Bloom’ ในออสเตรเลีย แคนนาดา และฮ่องกง แพลงตอนที่ตายเหล่านั้นมีพิษ เป็นกรด ทำให้เกิดการตายอย่างเฉียบพลันในปลาและสิ่งมีชีวิตที่บริโภคมันเข้าไป แต่ในอ่าวไทยปรากฏการณ์ ‘Plankton Bloom’ ที่เรียก ‘ขี้ปลาวาฬ’ หรือ ‘น้ำทะเลเปลี่ยนสี’ (red tide) ไม่ก่อให้เกิดอันตรายเพราะมาจากสาเหตุธรรมชาติ”

ล้อมคอกเอเลี่ยน
ดร.เจิดจินดา บอกข้อจำกัดเกี่ยวกับการศึกษาและป้องกันในเรื่องเหล่านี้ว่า ประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานเฉพาะที่ศึกษาผลกระทบที่เกิดจาก เอเลี่ยน สปีชี่ส์ ทั้งยังมีข้อจำกัดในการศึกษาอีกมาก เพราะงานวิจัยเรื่องผลกระทบของสัตว์พวกนี้ต้องใช้เวลานาน ต้องเก็บตัวอย่างหลายพื้นที่ ใช้งบประมาณมาก คนที่ทำวิจัยเรื่องนี้ก็ต้องมีความรู้ในเรื่องนิเวศวิทยาค่อนข้างลึก เลยยังไม่มีใครทำ ส่วนใหญ่จะทำวิจัยเกี่ยวกับสัตว์น้ำเศรษฐกิจมากกว่า
และแม้ว่าไทยยังไม่ได้เข้าร่วมในอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity, CBD) ที่ระบุให้ประเทศภาคีดำเนินการ "ป้องกันการนำเข้าชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ควบคุมหรือกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่นซึ่งคุกคามระบบนิเวศ ถิ่นที่อยู่อาศัย หรือชนิดพันธุ์อื่น" แต่ก็ให้ความร่วมมือตอบสนอง โดยคณะอนุกรรมการอนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งมีสำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม เป็นฝ่ายเลขานุการ ได้แต่งตั้งคณะทำงานชีวินทรีย์ต่างถิ่นในประเทศไทยขึ้นตั้งแต่ปี 2539 เพื่อรวบรวมข้อมูลชนิดพันธุ์ต่างถิ่น และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการวางมาตรการควบคุม และป้องกันการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เนื่องจากการแพร่ระบาดของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในประเทศ ตลอดจนมีการจัด Working group เพื่อนำเนื้อหาสำคัญที่ค้นพบเสนอเข้าที่ประชุม Apec ที่ประเทศชิลี เพื่อหาแนวทางป้องกัน แก้ไข และประเทศไทยกำลังเตรียมร่างนโยบายทางทะเล มาเป็นกรอบการดำเนินการเกี่ยวกับกรณีเหล่านี้
ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้บอกเราอย่างชัดแจ้งว่า การจะกำจัดผู้รุกรานที่หลุดลงสู่ธรรมชาติ และเข้ามาสร้างปัญหาในประเทศไทยเป็นเรื่องยาก ต้องใช้งบประมาณมหาศาลโดยที่ยังมีแนวโน้มว่าจะแก้ไขได้ แต่ในขณะที่ปัญหาเก่ายังมิอาจสะสาง ก็มีแนวโน้มว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะซ้ำรอยอีกในอนาคต ส่วนหนึ่งมาจากการนำเข้าสัตว์ต่างถิ่นมาเพื่อการเพาะเลี้ยงโดยมิได้ศึกษาผลกระทบให้รอบด้านเสียก่อน ส่วนหนึ่งมาจากความนิยมในสัตว์แปลกจากต่างประเทศ ...อย่างเช่น อีกัวน่า ซาลามานเดอร์ เต่าดาว งูคอร์น คางคกสุรินัม ปาดลายพราง กบตาหนาม แฮมสเตอร์ แกสปี้ ปลาหมึกบลูริงก์ แมลงสาบยักษ์มาดากัสการ์ หรือ จอกหูหนูยักษ์ วัชพืชที่ก่อปัญหารุนแรงในหลายประเทศ เอเลี่ยน สปีชี่ส์ เหล่านี้ถูกวางขายอยู่เป็นจำนวนมากที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ต่อไปหากเอเลี่ยนฯ เหล่านี้หลุดรอดมากล้ำกลายในธรรมชาติ บ้านเราอาจมีสัตว์อีกหลายชนิดที่เป็น ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน เพิ่มขึ้น หรือ บทเรียนที่ผ่านมายังไม่สามารถทำให้คนไทยเห็นอันตรายเหล่านี้ได้ หรือ ต้องรอให้ประเทศไทยถูกยึดจากสัตว์ต่างถิ่นจนไร้สิ่งมีชีวิตที่เป็นของเราอย่างแท้จริง และกว่าจะถึงวันนั้นก็สายเกินแก้
**********
invasive alien species บทเรียนจากต่างเมือง
กุ้งขาว กับ โรค Taura syndrome (TS) มีรายงานครั้งแรกที่ประเทศแอกวาดอร์ ในปี 2535 ว่า เกิดโรคในบ่อเลี้ยงกุ้งขาว แล้วจึงแพร่สู่กุ้งในธรรมชาติ ปัจจุบันมีการระบาดรุนแรงในทุกประเทศที่เพาะเลี้ยงกุ้งขาว จนสหรัฐอเมริกาประกาศห้ามปล่อยพันธุ์กุ้งขาวลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติอย่างเด็ดขาด ประเทศไต้หวันเป็นอีกรายที่นำเข้ากุ้งขาวในปี 2537 ปัจจุบันปัญหาจากโรค Taura ระบาดอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง เชื้อไวรัส Taura ยังสร้างความเสียหายแก่ผู้เพาะพันธุ์ในในเอกวาดอร์ระหว่างปี 2535 - 2539 คิดเป็นมูลค่า 1 พันล้านเหรียญ
เชื้อรากบ มีถิ่นกำเนิดที่สหรัฐอเมริกา ระบาดเข้าไปในประเทศปานามา ทำให้กบพื้นเมืองสูญพันธุ์ไปถึง 5 ชนิด
แมวบ้าน ที่ประเทศสหรัฐอเมริกานำเข้าจากประเทศอื่นๆ ได้ขยายพันธุ์จนไม่สามารถควบคุมได้ แมวเหล่านี้ฆ่านกในสวนสาธารณะถึงปีละ 10 ล้านตัว
ด้วงหนวดยาว มีถิ่นกำเนิดในประเทศญี่ปุ่น ได้ระบาดเข้าไปในรัฐนิวยอร์ก กินไม้ยืนต้นในสวนสาธารณะเสียหายเป็นจำนวนมาก
ปลาแซลมอน จากทะเลบอลติก ถูกนำเข้าไปเลี้ยงเพื่อการประมงในประเทศนอร์เวย์ หลังจากหลุดลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ปลาแซลมอนในแม่น้ำกว่า 30 แห่งสูญหาย
งูต้นไม้สีน้ำตาล (Brown Tree Snake) สัตว์พื้นเมืองของออสเตรเลียและหมู่เกาะทะเลใต้ เล็ดรอดเข้ามาถึงเกาะกวม และทำให้นกพื้นเมืองสูญพันธุ์ไปถึง 13 ชนิด กิ้งก่าอีก 6 ชนิด จากทั้งหมด 12 ชนิด และค้างคาวอีก 2 ชนิด จากทั้งหมด 3 ชนิด
หงส์ ถูกนำเข้าจากยุโรปสู่รัฐแมรีแลนด์ เมื่อ 40 ปีที่แล้ว กินสาหร่ายในบึงน้ำเป็นอาหารหลัก โดยแต่ละตัวต้องการอาหารถึง 10 ปอนด์ พวกมันได้คุกคามการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อย่างรุนแรง
นากหญ้า ถูกนำเข้ามาในรัฐหลุยเซียนา ในปี 2537 ทำลายไร่ข้าว ไร่อ้อยจำนวนนับแสนไร่ และทำลายไร่ข้าวที่รัฐเทกซัส นับล้านไร่
หอยกาบม้าลาย (Zebra Mussel) ที่ติดเข้ามาพร้อมกับเรือสินค้าจากยุโรปตะวันออก ในช่วงทศวรรษ 2520 ได้สร้างปัญหาใหญ่ในทะเลสาบเกรทเลค จำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวมเร็วของมัน ทำให้เกิดการอุดตันของท่อในโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานน้ำ รวมทั้งเกาะติดกับใบพัดกังหันเทอร์ไบน์ในปริมาณถึง 700,000 ตัว ต่อ 1 ตารางเมตร
เมล็ดพืชแครอตป่า จากอเมริกากลาง ติดไปกับตู้คอนเทนเนอร์รถบรรทุกขนส่งเมล็ดพันธุ์เข้าสู่อินเดีย แพร่ระบาดไปทั่วประเทศ รุกรานพืชไร่อื่นอย่างรุนแรง
ผักตบชวา ถูกนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นเก็บขึ้นมาจากแม่น้ำโอริโนโก ประเทศเวเนซุเอลา ในปี 2427 ไปแสดงในงานนิทรรศการฝ้าย ที่เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา และแจกเป็นที่ระลึกให้แก่บุคคลสำคัญที่มาเที่ยวชมคนละต้น จากนั้นมาอีก 11 ปี แม่น้ำเซนต์จอห์นในรัฐฟลอริดา ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองนิวออร์ลีนส์ไปทางใต้ถึง 600 ไมล์ เกิดแพผักตบชวายาวถึง 100 ไมล์ คลุมผิวน้ำห่างไปจากฝั่งถึง 200 ฟุต
กุ้งขาว (Penaeus vannamei) ที่ไทยเพิ่งนำเข้ามาเลี้ยงได้ไม่กี่ปี โรคร้ายที่มากับมัน ทำให้กุ้งกุลาดำป่วยตายล้างบาง หากมันหลุดรอดออกไป และสามารถปรับตัวมีชีวิตในแหล่งน้ำธรรมชาติได้ อาจส่งผลร้ายต่อสัตว์น้ำอีกหลายชนิดในน่านน้ำไทย ‘ไข่และสัตว์น้ำ’ ที่ติดมากับน้ำอับเฉาจากท้องเรือ ไม่แน่ว่าหากปรับตัวแพร่พันธุ์ในบ้านเราได้ จะเกิดมหันตภัยอย่างไรต่อไปในอนาคต
การคมนาคมที่ไปมาถึงกันหมด ทำให้สิ่งมีชีวิตหลากหลายเดินทางแพร่กระจายไปในรูปแบบที่แตกต่างทั่วโลก บางชนิดแอบติดโดยสารมากับเรือเดินสมุทร เรือประมง รถยนต์ เครื่องบิน หรือบางชนิดถูกหมายตัวมาเพื่อการเพาะเลี้ยงทางเศรษฐกิจ บางชนิดนำเข้ามาให้นักนิยมพืชสวยสัตว์แปลกโดยเฉพาะ ชนิดพันธุ์ต่างแดนต่างๆ ที่ไม่เคยอยู่ในระบบนิเวศดั้งเดิมเหล่านี้ เมื่ออพยพเข้ามาลงหลักปักฐานอยู่ร่วมกับชนิดพันธุ์ท้องถิ่นอย่างถาวร และไม่รบกวนสมดุลของระบบนิเวศ จะถูกเรียกว่า ‘เอเลี่ยน สปีชี่ส์’ (alien species) แต่บางพวกที่เข้ามาแล้วสร้างความเสียหาย มันแข็งแรงดุร้าย มันแย่งอาหารหรือทำลายสิ่งมีชีวิตเจ้าถิ่น รวมทั้งในที่อยู่ใหม่ของมันไม่มีศัตรูธรรมชาติคอยควบคุมประชากร มันจึงแพร่พันธุ์อย่างเร็วและระบาดไปทุกหย่อมหญ้า พวกมันถูกเรียกว่า ‘ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน’ (invasive alien species)
ผู้รุกรานที่สั่งตรงมาเพราะแปลกและสวยงาม
จรัลธาดา กรรณสูต รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยผลการจับกุมปราบปรามการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ของกองตำรวจป่าไม้ ระหว่างปี 2543 ถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า ตำรวจป่าไม้พบปลาที่อันตราย ห้ามมีไว้ในครอบครอง หรือ นำเข้ามาในราชอาณาจักร คือ ปลาปิรันย่า 8 ตัว ปลาฉลามปากเป็ด และปลาสเตอเจี้ยน กว่า 100 ตัวในตลาดนัดสวนจตุจักร ยอดรวมทั้งหมดในปีที่ผ่านมา สามารถจับกุมและยึดปลาปิรันย่าได้เกือบ 500 ตัว
ปลาปิรันย่า เหล่านี้เป็นปลาบริเวณลุ่มแม่น้ำอะเมซอนและโอริโนโคในทวีปอเมริกาใต้ ถูกนำเข้ามาประเทศไทยเพื่อเลี้ยงเป็นปลาตู้ แต่หากหลุดเข้าไปในระบบนิเวศของไทยและแพร่พันธุ์ไปแล้วตามธรรมชาติจริง ก็จะเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานอย่างร้ายกาจ เพราะมันขยายพันธุ์ได้เป็นจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว มีนิสัยดุร้ายเป็นปลานักล่า และกินเนื้อ
ผู้บริหารจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งรายหนึ่ง ซึ่งเคยอยู่ในกรมประมง เล่าว่า แม้จะมีการเข้มงวดแค่ไหน ก็ยังมีการลักลอบนำปลาปิรันย่าจำนวนมากเข้ามาจากต่างประเทศ ส่วนที่มีคนแจ้งเข้ามาว่าพบเห็นปลาปิรันย่าในแหล่งน้ำธรรมชาตินั้น หลังจากตรวจสอบก็พบว่าเป็น ปลาพาคู (Pacu) หรือ ปลาจาระเม็ดน้ำจืด เป็นปลาในครอบครัว Characidae เมื่อโตเต็มที่จะกินผลไม้และเมล็ดพรรณพืชเป็นอาหาร ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์เหมือนปลาปิรันย่า เขาเล่าต่อว่า “เจ้าหน้าที่ยังตรวจสอบไม่ได้ทั้งหมดว่า มีปลาปิรันย่าในแหล่งน้ำธรรมชาติจริงหรือเปล่า... ส่วนการนำ ปลาพาคู เข้ามาเพาะเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ถึงมันจะไม่กินเนื้อ ก็น่าจะนำเข้ามาเลี้ยงเพื่อความสวยงามอย่างเดียวเท่านั้น เพราะต่อไปมันอาจจะเหมือน ปลานิล หรือ ปลาหมอเทศ ซึ่งก็เป็นสัตว์ต่างถิ่นเหมือนกัน เดี๋ยวนี้แพร่กระจายไปทั่ว แย่งอาหารปลาธรรมชาติ กินกุ้งในนากุ้ง สร้างความเสียหายให้ชาวนากุ้งอย่างมาก”
ผู้บริหารจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งรายหนึ่ง ซึ่งเคยอยู่ในกรมประมง เล่าว่า แม้จะมีการเข้มงวดแค่ไหน ก็ยังมีการลักลอบนำปลาปิรันย่าจำนวนมากเข้ามาจากต่างประเทศ ส่วนที่มีคนแจ้งเข้ามาว่าพบเห็นปลาปิรันย่าในแหล่งน้ำธรรมชาตินั้น หลังจากตรวจสอบก็พบว่าเป็น ปลาพาคู (Pacu) หรือ ปลาจาระเม็ดน้ำจืด เป็นปลาในครอบครัว Characidae เมื่อโตเต็มที่จะกินผลไม้และเมล็ดพรรณพืชเป็นอาหาร ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์เหมือนปลาปิรันย่า เขาเล่าต่อว่า “เจ้าหน้าที่ยังตรวจสอบไม่ได้ทั้งหมดว่า มีปลาปิรันย่าในแหล่งน้ำธรรมชาติจริงหรือเปล่า... ส่วนการนำ ปลาพาคู เข้ามาเพาะเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ถึงมันจะไม่กินเนื้อ ก็น่าจะนำเข้ามาเลี้ยงเพื่อความสวยงามอย่างเดียวเท่านั้น เพราะต่อไปมันอาจจะเหมือน ปลานิล หรือ ปลาหมอเทศ ซึ่งก็เป็นสัตว์ต่างถิ่นเหมือนกัน เดี๋ยวนี้แพร่กระจายไปทั่ว แย่งอาหารปลาธรรมชาติ กินกุ้งในนากุ้ง สร้างความเสียหายให้ชาวนากุ้งอย่างมาก”
วายร้ายอีกตัว ที่น้อยคนรู้ว่าเป็นผู้รุกรานจากต่างถิ่น เพราะสร้างปัญหามานานและเห็นกันจนชาชิน คือ ‘หอยเชอรี่’ (Pomacea canaliculata Lamarck) แต่เดิม หอยเชอรี่ เป็นสัตว์พื้นเมืองของทวีปอเมริกาใต้ เรียก หอยโข่งอเมริกาใต้ หรือเป๋าฮื้อน้ำจืด ถูกนำเข้ามาประเทศไทยราวปี 2526 เพื่อมาทำฟาร์มเลี้ยงเป็นอาหารและเลี้ยงประดับตู้ปลาที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ส่งขายประเทศญี่ปุ่น ต่อมาถูกปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติและขยายพันธุ์ไปทั่ว รุกรานหอยโข่ง และหอยพื้นเมืองของไทยจนเกือบสูญพันธุ์ กัดกินต้นข้าวของชาวนาไทยทั่วประเทศ ...ถึงเมื่อก่อนมันจะสวยงามอย่างไร วันนี้มันคือ ‘ศัตรูที่หนึ่ง’ ของชาวนาชาวสวนที่ไม่มีวันกำจัดสิ้น
ผู้รุกรานอีกราย คือ ‘ปลาซัคเกอร์’ (Hypostomus spp.) หรือที่รู้จักกันดีในนาม ปลาเทศบาล มีถิ่นกำเนิดในประเทศปานามา คอสตาริกา และอเมริกากลาง ถูกนำเข้าไทยมาเลี้ยงเป็นปลาตู้ ...วันนี้ถามนักตกปลาหรือชาวประมงจะรู้ดีว่า มันแพร่พันธุ์ไปทั่วท้องน้ำหลักจากที่คนปล่อยมันลงแหล่งน้ำธรรมชาติ ซัคเกอร์ อดทน กินเก่ง แย่งอาหารปลาพื้นเมือง และดูดกินไข่ปลาอื่นๆ ตามหน้าดินด้วย
ผู้รุกรานที่นำเข้ามาเพื่อการเพาะเลี้ยง
‘กุ้งขาว’ (Litopenaeus vanamei) กุ้งทะเลขนาดกลาง ความยาวสูงสุด 23 เซนติเมตร พบทั่วไปในแถบชายฝั่งทะเลของมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ นิยมเลี้ยงกันในอเมริกากลางและใต้ มีวงจรชีวิตคล้ายกับกุ้งทะเลทั่วไป แต่อดทนโรคได้สูง สามารถปรับตัวอยู่ได้ในน้ำเค็มต่ำสุด (2 ส่วนในพันส่วน) แม้กุ้งขาวจะว่ายน้ำเป็นฝูง แต่ก็ไม่ใช่สัตว์สังคมจึงมีนิสัยก้าวร้าวและทำร้ายกุ้งตัวอื่น ปัญหาสำคัญในการเพาะเลี้ยงกุ้งขาวคือ โรค Taura syndrome (TS) ซึ่งเป็นไวรัสที่ร้ายแรงที่สุดในกุ้งที่ติดมาพร้อมกับมัน ไวรัส Taura ทำให้กุ้งตาย 40 - 90% ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ไทยเราก็เริ่มนำเข้า ‘กุ้งขาว’ มาเพาะเลี้ยงประมาณปี 2540 - 2541
“ผมเป็นคนเดียวที่คัดค้านการนำกุ้งขาวเข้ามาเลี้ยง เพราะเห็นตัวอย่างจากต่างประเทศว่าเป็นกุ้งที่เป็นพาหะนำโรคหลายชนิดเข้ามาสู่กุ้งและปลาในประเทศ” ผู้รู้คนเดิมเล่าว่า ช่วงแรกของการทดลองเลี้ยงกุ้งขาวร่วมกับกุ้งกุลาดำ ปรากฏว่ากุ้งกุลาดำตายหมด แต่เพราะการเลี้ยงกุ้งกุลาดำกำลังประสบปัญหาโรคระบาด พ่อแม่พันธุ์กุ้งคุณภาพดีขาดแคลน และ กุ้งกุลาดำแคระแกรนเลี้ยงไม่โต แต่ราคาของลูกกุ้งกลับปรับตัวสูง ผู้เลี้ยงกุ้งจึงหันมาเลี้ยงกุ้งขาวกันมากขึ้น “ถ้าลองไปดูแถวแม่กลอง บางปะกง ก็จะเห็นการเพราะเลี้ยงกุ้งขาวเป็นจำนวนมาก ถ้าหลุดออกไปและเจริญได้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือสามารถปรับตัวไปอยู่อาศัยในน้ำจืดได้ จะส่งผลกระทบมากมายมหาศาลกว่านี้มาก อีกทั้งไทยมีสายน้ำติดต่อกันตลอดแนวชายฝั่งด้วย กุ้งกุลาดำ กุ้งเหลืองหางฟ้า กุ้งแชบ๊วย กุ้งตะกาด และกุ้งทะเลชนิดอื่นๆ ในแหล่งน้ำไทยก็จะมีแนวโน้มติดเชื้อ Taura ได้ ถ้าหากเชื้อโรคแพร่กระจายสู่แหล่งน้ำของเราแล้ว พ่อแม่พันธุ์กุ้งในธรรมชาติจะติดเชื้อทั้งหมด“
ในเวทีการเสวนา โครงการประเมินผลกระทบการนำเข้ากุ้งขาวเข้าประเทศไทย วันที่ 10 มกราคม 2547 ซึ่งสรุปไว้ในเวปไซด์ ไทยฟาร์มโซน ระบุไม่ได้ว่ามี กุ้งขาว หลุดลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติไปแล้วหรือไม่
นอกจากนั้น วิทยากรที่มาร่วมในเวทีเสวนา ยังระบุว่า เชื้อ Taura ในกุ้งขาวมีความรุนแรงระดับสูง เพราะสามารถติดเชื้อในสัตว์ได้หลายชนิด บางชนิดตาย บางชนิดไม่แสดงอาการแต่มีเชื้อ ส่วนการทดลองสุ่มตัวอย่างทั่วประเทศพบกุ้งขาวในบ่อดินทั่วประเทศมีการปนเปื้อนของเชื้อ Taura 7.10% นอกจากนั้นยังพบการปนเปื้อนของเชื้อ Taura ในกุ้งก้ามกรามด้วย ปัจจุบันกรมประมงประกาศห้ามนำกุ้งขาวเข้าประเทศ จนกว่าจะทำการศึกษาเรื่องผลกระทบของกุ้งขาวให้แน่ชัด
อย่างไรก็ตาม มีตัวอย่างที่ชัดเจนถึงผู้รุกรานที่มากับการนำเข้าเพื่อเพาะเลี้ยง คือ ‘ปลาดุกรัสเซีย’ จากถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศแอฟริกาใต้ คนไทยนำเข้ามาจากประเทศลาวเพื่อเลี้ยงดูเล่น ปลาดุกรัสเซีย เป็นปลาขนาดใหญ่ มีนิสัยดุร้าย ก้าวร้าว และมีลำตัวขนาดใหญ่ ต่อมามีผู้มอบให้กรมประมงเพื่อเพาะเลี้ยง และผสมข้ามพันธุ์กับปลาดุกอุยของไทย ได้เป็นลูกผสมที่รู้จักแพร่หลาย ในนาม ‘บิ๊กอุย’ หรือ ปลาดุกอุยรัสเซีย แต่นิสัยก็ยังคงดุร้ายอยู่ ในตอนแรกก็เพาะเลี้ยงอยู่ในบริเวณ แต่ต่อมาเกิดภาวะน้ำท่วม บิ๊กอุยหนีออกจากบ่อเลี้ยงลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ แย่งอาหารปลาชนิดอื่น ผสมข้ามพันธุ์ กินไข่และตัวอ่อนของปลาดุกพื้นเมือง รวมทั้งกัดกินปลาชนิดอื่นๆ ทั่วไปในลำน้ำ หรือ การนำเข้าลูกหอยแคลงจากมาเลเซียมาเลี้ยง ปรากฏว่าได้นำ ‘หอยขี้นก’ ติดเข้ามาด้วย หอยขี้นกพอเข้ามาก็ระบาด เจาะเปลือกกินหอยแคลง ทำให้หอยแคลงของไทยตายไปเป็นจำนวนมาก
ผู้รุกรานที่เข้ามาอยู่แต่เก่าแก่
สืบค้นดูก็แทบจะเรียกได้ว่า ผู้รุกรานเหล่านี้เข้ามานานจนดูเหมือนเป็นชีวิตดั้งเดิมของประเทศ หากจะยกชื่อขึ้นมาคงไม่มีคนไทยคนไหนที่ไม่รู้จัก
“อย่าง ‘ปลาหมอเทศ’ เป็นพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่นที่พบแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำของไทย คนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าสร้างความเสียหายให้ธรรมชาติ หมอเทศปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมเมืองไทยได้ดีมาก ปากแม่น้ำตอนนี้มีแต่ปลาหมอเทศ ไม่รู้ว่ามันจะแย่งอาหารปลาพื้นเมืองมากแค่ไหน หอยเชอรี่ ปลาซัคเกอร์ และปลาดุกรัสเซีย ก็ไม่มีใครประเมินผลกระทบได้แน่ชัด ยังมีชนิดพันธุ์ที่เหลือที่ยังไม่มีใครรู้แน่ว่าไปแย่งอาหาร หรือคุกคามสัตว์น้ำพื้นเมืองขนาดไหน” เจ้าหน้าที่จากกรมประมงเล่า
ไม่เพียงแค่สัตว์น้ำเท่านั้นที่อยู่ในฐานะผู้รุกรานได้ พืชก็เช่นกันและมันยังเป็นที่สนิทสนมกับคนไทยมาช้านาน อย่าง ‘ผักตบชวา’ ซึ่งเข้ามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ช่อดอกสวยงามเหมือนกล้วยไม้ ทำให้หลายๆ ประเทศรวมทั้งไทยนำมาปลูก มันขยายพันธุ์รวดเร็วมาก มันจึงถูกทิ้งลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติและแพร่ระบาดในแม่น้ำลำคลองทั่วประเทศ กีดขวางทางเดินของน้ำ และการจราจรทางน้ำ เป็นที่อาศัยของงูหรือหนู เมื่อตายก็ทับถมเน่าเสีย สร้างความเสียหายให้แม่น้ำลำคลองทุกทั่วหัวระแหง อีกชนิด คือ ‘ยูคาลิปตัส’ ถูกนำเข้ามาปลูกเพื่อทำเยื่อกระดาษและทำเฟอร์นิเจอร์ตั้งแต่ปี 2493 เป็นต้นไม้ที่ขึ้นได้ดีในทุกที่และโตเร็ว ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ รากมันแผ่ขยายไปดูดสารอาหารแร่ธาตุต่างๆ จากดิน ทำให้ต้นไม้อื่นแม้กระทั่งหญ้าก็ไม่สามารถขึ้นได้ ในที่สุดดินเสื่อมโทรมเป็นบริเวณกว้าง หรือ ‘ไมยราบยักษ์’ ที่ถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในประเทศแถบอเมริกากลาง และทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ถูกนำเข้าไทยราวปี 2490 เพื่อนำมาใช้เป็นพืชบำรุงดิน ปัจจุบันขยายพันธุ์ไปทั่วประเทศและกีดขวางทางเดินของน้ำทำให้แม่น้ำตื้นเขิน นอกจากนั้นยังมี หญ้าขจรจบ สาบเสือ ผักเป็ดน้ำ สาบหมา จอก ขี้ไก่ย่าน ผกากรอง ทุกชนิดเอ่ยไปก็แทบไม่มีใครที่ไม่รู้จัก แต่พวกมันล้วนไม่ใช่พืชพันธุ์ของบ้านเรา เมื่อเข้ามาก็ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ต้องใช้เงินในการกำจัดจำนวนมหาศาล และที่สุดก็ยังหาทางแก้ไขไม่ได้
เอเลี่ยนฯ ที่แอบเข้ามาจากน้ำอับเฉาเรือ
ดร.เจิดจินดา โชติยะบุตตะ นักวิชาการประมง 8 ว. ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน ให้ภาพใหม่ที่ยังไม่มีใครคิดถึงนี้ว่า บริเวณท่าเรือจะมีการถ่ายน้ำทิ้งจากท้องเรือ (น้ำอับเฉาเรือ) และการทำความสะอาดเรือ ส่วนท่าเทียบเรือประมงและสะพานปลา พบว่าน้ำทิ้งจากการล้างทำความสะอาดสัตว์น้ำแปรรูปสัตว์น้ำ การล้างทำความสะอาดท่าและเรือประมง ไหลลงสู่แหล่งน้ำโดยตรง โดยไม่ผ่านการดักเศษชิ้นส่วนสัตว์น้ำและระบบบำบัดใดๆ จึงมักจะมีคราบไขมัน เศษซากสัตว์น้ำ และเศษขยะมูลฝอยลอยอยู่บนผิวน้ำ น้ำทิ้งเหล่านี้จะมีสารอินทรีย์ปนเปื้อนเป็นจำนวนมากที่มีผลต่อคุณภาพน้ำและสิ่งมีชีวิตในบริเวณนั้น
ดร.เจิดจินดา บอกว่า สารพิษบางประเภทที่อยู่ในน้ำใต้ท้องเรือเป็นเวลานาน จะเกิดการสะสมและตกตะกอน เมื่อลงไปอยู่ในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ สิ่งมีชีวิตที่ได้รับสารเหล่านี้เข้าไปในร่างกาย ก็จะเกิดการต่อต้านและปรับตัวให้ผิดแผกไปจากวัฎจักรที่พวกมันเป็นอยู่ ทั้งออกมาในรูปของสัตว์ที่มีลักษณะพิการ หรือพืชที่มีลักษณะเป็นพิษ รวมทั้งเชื้อโรค ประเภทไวรัส หรือแบคทีเรียที่จะออกมาทำลายระบบนิเวศน์ใต้น้ำ และหากพวกมันเข้าไปเติบโตในน่านน้ำอื่น ก็จะเข้าไปทำลายระบบนิเวศน์ในที่ใหม่ ซึ่งจะกระจายออกไปเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น ซึ่งความรุนแรงของเหตุการณ์ประหลาดเหล่านี้ จะค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้น หากเรามีการจัดการที่ไม่เหมาะสม แต่เหตุที่ยังเรียกว่า ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เข้ามารุกราน ในวันนี้ไม่ได้เพราะยังมีการศึกษา
ผู้รู้ยกกรณีตัวอย่างที่ใกล้เคียงและยกขึ้นมาประกอบภาพเหล่านี้ให้ชัดเจนขึ้นว่า “มีปลาโลมา และปลาวาฬที่มาตายเกยหาดบ้านเรา นักวิชาการพยายามจะผ่าซากศพดู ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร แต่ก็ยังระบุแน่ชัดไม่ได้ เพราะกว่าจะได้ตัวมาก็ถูกย่อยสลายเน่าเปื่อยไปแล้ว ได้แต่สันนิฐานในเบื้องต้นว่า อาจเกิดจากการที่มันกินสัตว์ที่มีพิษเข้าไปก็ได้ เพราะเคยมีปรากฏการณ์อย่างนี้ให้เห็นในต่างประเทศมาแล้ว คือ แพลงตอนที่สะสมพิษอยู่ในตัวหอยแมลงภู่ ทำให้ชาวประมงประเทศฟิลิปปินส์นับร้อยป่วยและเสียชีวิตเพราะระบบหายใจขัดข้อง หรือ ปรากฏการณ์ ‘Plankton Bloom’ ในออสเตรเลีย แคนนาดา และฮ่องกง แพลงตอนที่ตายเหล่านั้นมีพิษ เป็นกรด ทำให้เกิดการตายอย่างเฉียบพลันในปลาและสิ่งมีชีวิตที่บริโภคมันเข้าไป แต่ในอ่าวไทยปรากฏการณ์ ‘Plankton Bloom’ ที่เรียก ‘ขี้ปลาวาฬ’ หรือ ‘น้ำทะเลเปลี่ยนสี’ (red tide) ไม่ก่อให้เกิดอันตรายเพราะมาจากสาเหตุธรรมชาติ”
ล้อมคอกเอเลี่ยน
ดร.เจิดจินดา บอกข้อจำกัดเกี่ยวกับการศึกษาและป้องกันในเรื่องเหล่านี้ว่า ประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานเฉพาะที่ศึกษาผลกระทบที่เกิดจาก เอเลี่ยน สปีชี่ส์ ทั้งยังมีข้อจำกัดในการศึกษาอีกมาก เพราะงานวิจัยเรื่องผลกระทบของสัตว์พวกนี้ต้องใช้เวลานาน ต้องเก็บตัวอย่างหลายพื้นที่ ใช้งบประมาณมาก คนที่ทำวิจัยเรื่องนี้ก็ต้องมีความรู้ในเรื่องนิเวศวิทยาค่อนข้างลึก เลยยังไม่มีใครทำ ส่วนใหญ่จะทำวิจัยเกี่ยวกับสัตว์น้ำเศรษฐกิจมากกว่า
และแม้ว่าไทยยังไม่ได้เข้าร่วมในอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity, CBD) ที่ระบุให้ประเทศภาคีดำเนินการ "ป้องกันการนำเข้าชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ควบคุมหรือกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่นซึ่งคุกคามระบบนิเวศ ถิ่นที่อยู่อาศัย หรือชนิดพันธุ์อื่น" แต่ก็ให้ความร่วมมือตอบสนอง โดยคณะอนุกรรมการอนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งมีสำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม เป็นฝ่ายเลขานุการ ได้แต่งตั้งคณะทำงานชีวินทรีย์ต่างถิ่นในประเทศไทยขึ้นตั้งแต่ปี 2539 เพื่อรวบรวมข้อมูลชนิดพันธุ์ต่างถิ่น และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการวางมาตรการควบคุม และป้องกันการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เนื่องจากการแพร่ระบาดของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในประเทศ ตลอดจนมีการจัด Working group เพื่อนำเนื้อหาสำคัญที่ค้นพบเสนอเข้าที่ประชุม Apec ที่ประเทศชิลี เพื่อหาแนวทางป้องกัน แก้ไข และประเทศไทยกำลังเตรียมร่างนโยบายทางทะเล มาเป็นกรอบการดำเนินการเกี่ยวกับกรณีเหล่านี้
ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้บอกเราอย่างชัดแจ้งว่า การจะกำจัดผู้รุกรานที่หลุดลงสู่ธรรมชาติ และเข้ามาสร้างปัญหาในประเทศไทยเป็นเรื่องยาก ต้องใช้งบประมาณมหาศาลโดยที่ยังมีแนวโน้มว่าจะแก้ไขได้ แต่ในขณะที่ปัญหาเก่ายังมิอาจสะสาง ก็มีแนวโน้มว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะซ้ำรอยอีกในอนาคต ส่วนหนึ่งมาจากการนำเข้าสัตว์ต่างถิ่นมาเพื่อการเพาะเลี้ยงโดยมิได้ศึกษาผลกระทบให้รอบด้านเสียก่อน ส่วนหนึ่งมาจากความนิยมในสัตว์แปลกจากต่างประเทศ ...อย่างเช่น อีกัวน่า ซาลามานเดอร์ เต่าดาว งูคอร์น คางคกสุรินัม ปาดลายพราง กบตาหนาม แฮมสเตอร์ แกสปี้ ปลาหมึกบลูริงก์ แมลงสาบยักษ์มาดากัสการ์ หรือ จอกหูหนูยักษ์ วัชพืชที่ก่อปัญหารุนแรงในหลายประเทศ เอเลี่ยน สปีชี่ส์ เหล่านี้ถูกวางขายอยู่เป็นจำนวนมากที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ต่อไปหากเอเลี่ยนฯ เหล่านี้หลุดรอดมากล้ำกลายในธรรมชาติ บ้านเราอาจมีสัตว์อีกหลายชนิดที่เป็น ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน เพิ่มขึ้น หรือ บทเรียนที่ผ่านมายังไม่สามารถทำให้คนไทยเห็นอันตรายเหล่านี้ได้ หรือ ต้องรอให้ประเทศไทยถูกยึดจากสัตว์ต่างถิ่นจนไร้สิ่งมีชีวิตที่เป็นของเราอย่างแท้จริง และกว่าจะถึงวันนั้นก็สายเกินแก้
**********
invasive alien species บทเรียนจากต่างเมือง
กุ้งขาว กับ โรค Taura syndrome (TS) มีรายงานครั้งแรกที่ประเทศแอกวาดอร์ ในปี 2535 ว่า เกิดโรคในบ่อเลี้ยงกุ้งขาว แล้วจึงแพร่สู่กุ้งในธรรมชาติ ปัจจุบันมีการระบาดรุนแรงในทุกประเทศที่เพาะเลี้ยงกุ้งขาว จนสหรัฐอเมริกาประกาศห้ามปล่อยพันธุ์กุ้งขาวลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติอย่างเด็ดขาด ประเทศไต้หวันเป็นอีกรายที่นำเข้ากุ้งขาวในปี 2537 ปัจจุบันปัญหาจากโรค Taura ระบาดอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง เชื้อไวรัส Taura ยังสร้างความเสียหายแก่ผู้เพาะพันธุ์ในในเอกวาดอร์ระหว่างปี 2535 - 2539 คิดเป็นมูลค่า 1 พันล้านเหรียญ
เชื้อรากบ มีถิ่นกำเนิดที่สหรัฐอเมริกา ระบาดเข้าไปในประเทศปานามา ทำให้กบพื้นเมืองสูญพันธุ์ไปถึง 5 ชนิด
แมวบ้าน ที่ประเทศสหรัฐอเมริกานำเข้าจากประเทศอื่นๆ ได้ขยายพันธุ์จนไม่สามารถควบคุมได้ แมวเหล่านี้ฆ่านกในสวนสาธารณะถึงปีละ 10 ล้านตัว
ด้วงหนวดยาว มีถิ่นกำเนิดในประเทศญี่ปุ่น ได้ระบาดเข้าไปในรัฐนิวยอร์ก กินไม้ยืนต้นในสวนสาธารณะเสียหายเป็นจำนวนมาก
ปลาแซลมอน จากทะเลบอลติก ถูกนำเข้าไปเลี้ยงเพื่อการประมงในประเทศนอร์เวย์ หลังจากหลุดลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ปลาแซลมอนในแม่น้ำกว่า 30 แห่งสูญหาย
งูต้นไม้สีน้ำตาล (Brown Tree Snake) สัตว์พื้นเมืองของออสเตรเลียและหมู่เกาะทะเลใต้ เล็ดรอดเข้ามาถึงเกาะกวม และทำให้นกพื้นเมืองสูญพันธุ์ไปถึง 13 ชนิด กิ้งก่าอีก 6 ชนิด จากทั้งหมด 12 ชนิด และค้างคาวอีก 2 ชนิด จากทั้งหมด 3 ชนิด
หงส์ ถูกนำเข้าจากยุโรปสู่รัฐแมรีแลนด์ เมื่อ 40 ปีที่แล้ว กินสาหร่ายในบึงน้ำเป็นอาหารหลัก โดยแต่ละตัวต้องการอาหารถึง 10 ปอนด์ พวกมันได้คุกคามการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อย่างรุนแรง
นากหญ้า ถูกนำเข้ามาในรัฐหลุยเซียนา ในปี 2537 ทำลายไร่ข้าว ไร่อ้อยจำนวนนับแสนไร่ และทำลายไร่ข้าวที่รัฐเทกซัส นับล้านไร่
หอยกาบม้าลาย (Zebra Mussel) ที่ติดเข้ามาพร้อมกับเรือสินค้าจากยุโรปตะวันออก ในช่วงทศวรรษ 2520 ได้สร้างปัญหาใหญ่ในทะเลสาบเกรทเลค จำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวมเร็วของมัน ทำให้เกิดการอุดตันของท่อในโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานน้ำ รวมทั้งเกาะติดกับใบพัดกังหันเทอร์ไบน์ในปริมาณถึง 700,000 ตัว ต่อ 1 ตารางเมตร
เมล็ดพืชแครอตป่า จากอเมริกากลาง ติดไปกับตู้คอนเทนเนอร์รถบรรทุกขนส่งเมล็ดพันธุ์เข้าสู่อินเดีย แพร่ระบาดไปทั่วประเทศ รุกรานพืชไร่อื่นอย่างรุนแรง
ผักตบชวา ถูกนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นเก็บขึ้นมาจากแม่น้ำโอริโนโก ประเทศเวเนซุเอลา ในปี 2427 ไปแสดงในงานนิทรรศการฝ้าย ที่เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา และแจกเป็นที่ระลึกให้แก่บุคคลสำคัญที่มาเที่ยวชมคนละต้น จากนั้นมาอีก 11 ปี แม่น้ำเซนต์จอห์นในรัฐฟลอริดา ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองนิวออร์ลีนส์ไปทางใต้ถึง 600 ไมล์ เกิดแพผักตบชวายาวถึง 100 ไมล์ คลุมผิวน้ำห่างไปจากฝั่งถึง 200 ฟุต