รอยเตอร์ - ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารพม่าเริ่มเดินทางบ่อยขึ้น โดยเขาเดินทางไปยังประเทศต่างๆ มากกว่าที่เคยเดินทางไปในช่วงหลายปีหลังจากยึดอำนาจจากการรัฐประหารในปี 2564 ที่โค่นล้มรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง
การเดินทางของเขาที่เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามทางการทูตของพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนต่อการเลือกตั้งที่รัฐบาลทหารวางแผนจัดขึ้นในเดือนธ.ค. ที่เต็มไปด้วยข้อถกเถียง ประกอบด้วยการเยือนจีนและรัสเซีย ประเทศละ 2 ครั้ง และเยือนไทย เบลารุส ประเทศละ 1 ครั้ง และในสัปดาห์นี้ เดินทางเยือนคาซัคสถาน
การเยือนเหล่านี้ พล.อ.อาวุโสมิน อ่อง หล่าย ยังได้หารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ที่ต่อยอดจากการเจรจาที่เริ่มต้นขึ้นหลังจากพม่าเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อเดือนมี.ค.
“การเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้งขึ้นของพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ในปีนี้ สะท้อนถึงความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นของเขา ทั้งภัยคุกคามจากชนชั้นนำต่อตัวเขาที่ลดลง สถานการณ์ในสนามรบที่ดีขึ้น และการโดดเดี่ยวทางการทูตระหว่างประเทศที่ผ่อนคลายลง” ริชาร์ด ฮอร์ซีย์ ที่ปรึกษาด้านพม่าของ Crisis Group กล่าว
โฆษกของรัฐบาลทหารไม่ได้ตอบรับคำร้องขอความคิดเห็น แต่สื่อของรัฐได้นำเสนอการเดินทางต่างประเทศของพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย บนหน้าหนึ่งของพวกเขา และอธิบายว่าเป็นการพัฒนาเชิงบวกของประเทศ
“เพื่อสรุปการเดินทางทั้งหมด ทั้งสามประเทศต่างยินดีกับการเลือกตั้งของพม่า” ซอ มิน ตุน โฆษกรัฐบาลทหารกล่าวกับสื่อของรัฐ โดยอ้างถึงการเดินทางเยือนจีน รัสเซีย และคาซัคสถาน ของพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย
หลังการรัฐประหาร และการปราบปรามของทหารต่อผู้ประท้วง พม่ากลายเป็นประเทศที่ถูกโดดเดี่ยวจากหลายประเทศ โดยบางประเทศกำหนดมาตรการคว่ำบาตรกับเหล่านายพล และในความเคลื่อนไหวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่มีสมาชิก 10 ประเทศรวมถึงพม่า ได้สั่งห้าม พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย และรัฐมนตรีระดับสูงของรัฐบาลทหารเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของกลุ่ม
เมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา อัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศประกาศว่าจะขอหมายจับนายพลอายุ 69 ปีผู้นี้ ในข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และจำกัดการเดินทางของเขา
หลังจากปกครองประเทศภายใต้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ยืดเยื้อเป็นเวลา 4 ปี ในปลายเดือนก.ค. กองทัพพม่าได้ประกาศจัดตั้งรัฐบาลรักษาการเพื่อจัดการเลือกตั้งแบบแบ่งเป็นระยะ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค.
ในขณะที่การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป การเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่เพียงประมาณครึ่งประเทศ และกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามหลายสิบกลุ่มถูกสั่งห้ามเข้าร่วม ทำให้เหลือแต่พรรคการเมืองที่ผ่านการตรวจสอบและสนับสนุนกองทัพเท่านั้นที่เข้าร่วม ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประเทศตะวันตกต่อการเลือกตั้งครั้งนี้ว่าเป็นการกระทำเพื่อต่ออายุให้พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ครองอำนาจ
ในเกือบทุกการประชุมกับผู้นำต่างประเทศตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้เน้นย้ำถึงการเตรียมการของกองทัพสำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ตามการรายงานของสื่อของรัฐ
ระหว่างการเยือนจีนเป็นเวลา 1 สัปดาห์ในเดือนก.ย. เพื่อเข้าร่วมงานต่างๆ รวมทั้งการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้พบหารือกับสี จิ้นผิง และโมดี และได้สัมผัสมือพร้อมกับพูดคุยเล็กน้อยกับ คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ
“การเยือนของมิน อ่อง หล่าย เป็นการส่งเสริมการยอมรับจากนานาชาติ เขาเข้าร่วมสิ่งที่เป็นการชุมนุมของรัฐเผด็จการ และแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับปักกิ่ง” เดวิด แมทธีสัน นักวิเคราะห์อิสระ ที่ติดตามสถานการณ์ในพม่า กล่าว
ในคำแถลงที่ออกหลังจากสีและนายพลพม่าได้พบหารือกันเมื่อปลายเดือนต.ค. กระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุว่า จีนสนับสนุนพม่าในการรวมพลังทางการเมืองภายในประเทศให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นได้และฟื้นฟูเสถียรภาพและการพัฒนา
จีนยังคงเป็นหนึ่งในพันธมิตรต่างประเทศที่สำคัญที่สุดของกองทัพพม่า โดยยังคงรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายพลระดับสูงและเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โดรน
ปักกิ่งยังได้ลงทุนในโครงการต่างๆ ในพม่า ภายใต้โครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ที่รวมถึงท่อส่งน้ำมันและก๊าซที่ตัดผ่านพม่า และโครงสร้างพื้นฐานที่วางแผนไว้ เช่น ท่าเรือน้ำลึก
“จีนเลือกที่จะให้ความชอบธรรมในระดับหนึ่งกับรัฐบาลทหาร การสนับสนุนของปักกิ่งอาจช่วยให้กองทัพได้รับความคุ้มครองทางการทูตและการสนับสนุนด้านวัตถุที่จำเป็นในการเดินหน้าจัดการเลือกตั้ง” เย เมียว เฮง นักวิเคราะห์อิสระ กล่าว