รอยเตอร์ - นายกรัฐมนตรีของเวียดนามกล่าวว่าฮานอยกำลังแสวงหาข้อตกลงการค้าใหม่ในปีนี้เพื่อบรรเทาผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุดของประเทศ ที่ได้กำหนดไว้กับสินค้าของเวียดนาม
คำแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประเมินว่าอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะลดการส่งออกของเวียดนามไปยังสหรัฐฯ มากถึง 1 ใน 5 ทำให้เวียดนามเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“การส่งออกจะเผชิญกับความยากลำบากและความท้าทาย เนื่องจากการแข่งขันเชิงกลยุทธ์ ความขัดแย้ง และนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ” นายกรัฐมนตรีฝ่าม มีง จีง กล่าว ในคำแถลงที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของรัฐบาลเมื่อวันพุธ (23)
ผู้นำเวียดนามคาดว่าการส่งออกจะเติบโตมากกว่า 12% ในปีนี้ โดยมูลค่าการส่งออกของเวียดนามในปีงบประมาณจนถึงวันที่ 15 ก.ย. เพิ่มขึ้น 15.8% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 325,300 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของรัฐบาล
เพื่อชดเชยผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ เวียดนามตั้งเป้าที่จะลงนามข้อตกลงการค้าเสรีกับกลุ่มประเทศ Mercosur ของละตินอเมริกา และประเทศสมาชิกคณะมนตรีความร่วมมืออ่าวอาหรับ ภายในสิ้นปีนี้ นายกฯจีง ระบุ
เขายังย้ำว่าเวียดนามจะยังคงเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ต่อไป หลังจากที่รัฐบาลทรัมป์กำหนดอัตราภาษี 20% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ของเวียดนามที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ
นายกฯจีง ยังบอกให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการปราบปรามสินค้านำเข้าที่อาจละเมิดลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศและอาจมีปัญหาเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้าต่อไป คำแถลงระบุ
ประเด็นปัญหาทั้ง 2 นี้ถูกหยิบยกขึ้นมาหลายครั้งโดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ว่าเป็นข้อกังวลสำคัญในความสัมพันธ์กับเวียดนาม
ทำเนียบขาวยังได้กำหนดอัตราภาษี 40% สำหรับสินค้าที่ถูกพิจารณาว่าเป็นการถ่ายลำผ่านเวียดนาม ซึ่งสิ่งนี้อาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงหากวอชิงตันตัดสินใจกำหนดข้อจำกัดอย่างเข้มงวดกับส่วนประกอบจากต่างประเทศที่ใช้ในสินค้าส่งออก เนื่องจากสินค้าของเวียดนามพึ่งพาส่วนประกอบจากจีนเป็นอย่างมาก.