เอเอฟพี - สหประชาชาติกล่าวว่าสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในพม่ากำลังเลวร้ายลง โดยกล่าวประณามภาพเหตุการณ์ดังกล่าวว่าชวนให้นึกถึงความโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับชนกลุ่มน้อยโรฮิงญาในปี 2560 ที่บางประเทศมองว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
รัฐยะไข่ถูกกองทัพพม่าปิดล้อม ขณะที่กองทัพกำลังต่อสู้กับนักสู้ของกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ในสงครามกลางเมืองหลายฝ่ายที่ลุกลามไปทั่วประเทศนับตั้งแต่กองทัพก่อรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2564
โวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน เตือนว่า ทั้งกองทัพและนักสู้ชาติพันธุ์ท้องถิ่นจากกองทัพอาระกัน ได้กระทำการที่แทบไม่ต้องรับโทษใดๆ ทำให้เกิดการละเมิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในวัฏจักรแห่งความทุกข์ทรมานที่ไม่มีสิ้นสุดต่อประชาชนพลเรือน
“วิดีโอและรูปภาพแสดงให้เห็นถึงความตาย การทำลายล้าง และความสิ้นหวัง ที่คล้ายคลึงอย่างน่าเศร้ากับภาพที่เคยเห็นมาแล้วในช่วงที่กองทัพได้กระทำความโหดร้ายต่อชนกลุ่มน้อยโรฮิงญาในปี 2560” โวลเกอร์ เติร์ก ระบุในคำแถลง
“ผมรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่งที่เห็นเหตุการณ์เดียวกันเกิดขึ้นอีกครั้ง” ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าว พร้อมย้ำข้อเรียกร้องของเขาให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติส่งเรื่องไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ
ชาวมุสลิมโรฮิงญาส่วนใหญ่ถูกกดขี่ข่มเหงในพม่ามาเป็นเวลาหลายทศวรรษ โดยชาวโรฮิงญาหลายแสนคนอพยพหลบหนีระหว่างการปราบปรามของกองทัพในปี 2560 ที่ขณะนี้เป็นประเด็นในศาลคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของสหประชาชาติ
รายงานฉบับใหม่จากสำนักงานของโวลเกอร์ เติร์ก เกี่ยวกับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในพม่า ที่พิจารณาสถานการณ์ระหว่างเดือนเม.ย. 2567 ถึงเดือนพ.ค. 2568 เน้นย้ำว่าการสู้รบในรัฐยะไข่ทำให้ประชาชนหลายแสนคนต้องอพยพพลัดถิ่นฐานในรัฐดังกล่าว
สหประชาชาติประเมินว่ามีผู้คนราว 150,000 คน หลบหนีไปยังบังกลาเทศตั้งแต่เดือนพ.ย. 2566 รวมกับชาวโรฮิงญาประมาณ 1 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่นั่นก่อนแล้ว
“พลเรือนทั้งชาวโรฮิงญาและชาวยะไข่ยังคงได้รับผลกระทบจากการสู้รบ” โวลเกอร์ เติร์ก กล่าว โดยชี้ถึงรูปแบบการโจมตีอย่างไม่เลือกของกองทัพต่อพลเรือนและวัตถุที่ได้รับการคุ้มครองอย่างกว้างขวางและเป็นระบบ
สำนักงานสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติอ้างอิงแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือพบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันแล้ว 1,811 คน ในความขัดแย้งช่วง 14 เดือนที่ครอบคลุมในรายงาน เกิดจากการโจมตีทางอากาศของกองทัพโดยตรง รวมถึงการโจมตีโรงเรียน
“การบังคับอพยพ การเกณฑ์ทหาร การสูญหาย การจับกุมโดยพลการ การวางเพลิง และการทำลายทรัพย์สิน ยังคงเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในรัฐ โดยพลเรือนต้องเผชิญกับการปฏิเสธความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และความโหดร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่มุ่งหมายสร้างความหวาดกลัวให้แก่พวกเขา” โวลเกอร์ เติร์ก ระบุ
รายงานยังเน้นย้ำถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่กองทัพอาระกันกระทำในภาคเหนือของรัฐยะไข่ รวมถึงการสังหาร การบังคับเกณฑ์ทหาร และการบังคับอพยพ
อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่าความรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อชาวโรฮิงญาลดลงเมื่อเทียบกันแล้วนับตั้งแต่ต้นปีนี้
แต่การปิดล้อมทางทหารที่ยังคงดำเนินอยู่ได้จำกัดเสบียงอาหารไปยังพื้นที่ดังกล่าว ทำให้วิกฤตความหิวโหยรุนแรงยิ่งขึ้น
โวลเกอร์ เติร์ก เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ สนับสนุนความพยายามะรหว่างประเทศเพื่อนำผู้ที่รับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนมาลงโทษ และเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนสามารถดำเนินการได้.