รอยเตอร์ - เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกอื่นๆ ได้แสดงความกังวลว่าเหมืองและโรงงานถลุงแร่ทังสเตน อาจตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจีน ที่อาจขัดขวางการเข้าถึงแหล่งแร่สำคัญนอกจีน แหล่งข่าวที่ทราบเรื่องดังกล่าวระบุ
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้จีน ซึ่งเป็นผู้จัดหาแร่ทังสเตนรายใหญ่ของโลก จำกัดการส่งออกโลหะหนัก รวมถึงแร่ธาตุสำคัญอื่นๆ เพื่อตอบโต้นโยบายภาษีของสหรัฐฯ
แหล่งข่าว 5 รายระบุว่า เหมืองนุ้ยเภา (Nui Phao) ที่ตั้งอยู่ในภาคเหนือของเวียดนาม ของบริษัท Masan High-Tech Materials ที่เป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท Masan ได้แสดงประสงค์ที่จะขายทรัพย์สินดังกล่าว
บริษัทจีน 2 แห่ง ได้ติดต่อกับบริษัทต่างชาติ 2 แห่ง เพื่อขอให้เป็นตัวแทนในการเสนอราคาเข้าถือหุ้นในธุรกิจดังกล่าว ตามการระบุของบุคคลหนึ่งที่ได้รับข้อมูลสรุปเกี่ยวกับการหารือเรื่องเหล่านี้
บุคคลดังกล่าวยังระบุว่าวิธีการเช่นนี้จะทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถใช้อิทธิพลของพวกเขาได้โดยไม่ต้องเปิดเผยความสนใจต่อสาธารณะ
การขายหุ้นอาจเผชิญกับการต่อต้านจากฮานอย ที่ในอดีตเคยขัดขวางการมีส่วนร่วมของจีนในภาคส่วนที่มีความอ่อนไหวนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ฮานอยได้อนุญาตให้จีนลงทุนขนาดใหญ่ในภาคการผลิตของเวียดนาม และประเทศเพื่อนบ้านทั้งสองได้ร่วมดำเนินโครงการเชื่อมโยงทางรถไฟ ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นอันตรายในเชิงการป้องกันจากชาวเวียดนามจำนวนมาก
รอยเตอร์ได้สัมภาษณ์บุคคล 9 คน สำหรับบทความนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ขอไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากเป็นประเด็นอ่อนไหว
รอยเตอร์ไม่สามารถระบุได้ว่ามีการเสนอราคาใดๆ หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นสำหรับโครงการทั้งหมด หรือเหมืองกับโรงงานถลุงแยกกัน
บริษัท Masan และสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงฮานอย ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น ส่วนกระทรวงสิ่งแวดล้อมเวียดนาม ที่กำกับดูแลการสัมปทานเหมืองแร่ และกระทรวงการต่างประเทศของจีน ไม่ได้ตอบสนองต่อคำร้องขอความคิดเห็นในเรื่องนี้
แหล่งข่าวระบุว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นักการทูตสหรัฐฯ และเจ้าหน้าที่ตะวันตกอื่นๆ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมเหมืองนุ้ยเภาหลายครั้ง
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกล่าวว่า การเยือนดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อแสดงการสนับสนุน และเสริมว่าตะวันตกมีความสนใจที่จะป้องกันไม่ให้เหมืองถูกจีนควบคุม
เหมืองนุ้ยเภา เป็นหนึ่งในเหมืองที่ใหญ่ที่สุดนอกประเทศจีน โดยเหมืองแห่งนี้ผลิตแร่ได้ประมาณ 3,400 ตันในปีที่ผ่านมา ทำให้เวียดนามเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากจีน ตามข้อมูลของสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐฯ
โรงงานถลุงแร่ที่อยู่ติดกับเหมืองแห่งนี้ เป็นหนึ่งในโรงงานถลุงที่ใหญ่ที่สุดนอกจีนด้วยเช่นกัน โดยมีกำลังการผลิต 6,500 ตันต่อปี และผลิตผลิตภัณฑ์ทังสเตนจำนวนมากที่จีนกำหนดข้อจำกัด ซึ่งรวมถึงออกไซด์ และแอมโมเนียมพาราทังสเตต
“จะเป็นเรื่องน่ากังวลหากโรงงานถลุงแร่สำคัญแห่งนี้ถูกขายให้กับฝ่ายที่ไม่แบ่งปันผลประโยชน์กับอุตสาหกรรมตะวันตก” อดีตเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำเวียดนาม และที่ปรึกษาบริษัท EQ Resources ที่เป็นผู้แปรรูปผลผลิตทั้งหมดจากเหมืองทังสเตนในออสเตรเลียที่โรงงานถลุงของ Masan กล่าว
ทังสเตนเป็นโลหะที่มีความแข็งแรงทนทานอย่างมากมักถูกจัดว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้งานในอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศและอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงกระสุนและเซมิคอนดักเตอร์
จีน ที่ครองส่วนแบ่งการผลิต 83% ของผลผลิตทั่วโลกในปี 2567 จำกัดการส่งออกในเดือนก.พ. โดยกำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องขอใบอนุญาตก่อนส่งออก
การส่งออกผลิตภัณฑ์ทังสเตนหลากหลายชนิดของจีนลดลงอย่างรวดเร็วในเดือนก.พ. และฟื้นตัวเพียงบางส่วนนับตั้งแต่นั้นมา ตามข้อมูลของศุลกากรจีน การส่งออกลดลง 17% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบกับเดือนม.ค.
ซึ่งนั่นส่งผลให้ราคาของแอมโมเนียมพาราทังสเตต (APT) ที่เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตภัณฑ์ทังสเตนหลายชนิดพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 71% ในจีน และเพิ่มขึ้น 52% ในยุโรป เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี
ทังสเตนจากเวียดนามมีสัดส่วน 22% ของการนำเข้าของสหรัฐฯ ในปีที่แล้ว และ 8% ของการนำเข้าของยุโรป ตามข้อมูลจาก Project Blue บริษัทที่ปรึกษาด้านแร่ธาตุ
บริษัท Masan ประสบปัญหาในการทำกำไรจากเหมืองและโรงงานถลุง และธุรกิจนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจแปรรูปอาหารและค้าปลีกที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัท และบริษัทได้ขายบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจทังสเตนในเยอรมนีเมื่อปีที่แล้ว
ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันและฮานอยก็ย่ำแย่ลง
ในเดือนนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราภาษีศุลกากร 20% กับสินค้าของเวียดนาม โดยยังไม่ได้บรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายกับฮานอย นอกจากนี้ เขายังขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม และปฏิเสธคำขอการประชุมหารือกับโต เลิม ผู้นำสูงสุดของเวียดนาม ตามคำกล่าวของเจ้าหน้าที่หลายราย
สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น เมื่อใบอนุญาตของเหมืองจะหมดอายุลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยใบอนุญาตของเหมืองมีอายุถึงต้นปี 2571
หนึ่งในแหล่งข่าวระบุว่าความล่าช้าใดๆ ในการจัดเตรียมการต่ออายุสัมปทานอาจบังคับให้โรงงานถลุงแร่ต้องลดขนาดการดำเนินงานลงก่อนที่สัมปทานที่มีอยู่จะหมดอายุ.