เอเอฟพี - กลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดกลุ่มหนึ่งของพม่าประกาศว่าจะขัดขวางการเลือกตั้งในพื้นที่ที่ตนควบคุม โดยปฏิเสธการเลือกตั้งที่รัฐบาลทหารประกาศไว้ว่าเป็นหนทางในการยุติสงครามกลางเมืองของประเทศ
กองทัพอาระกัน (AA) กลายเป็นผู้ท้าทายรายสำคัญต่อนายพลที่ปกครองพม่านับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในปี 2564 ที่ก่อให้เกิดสงคราม และปัจจุบันควบคุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของรัฐยะไข่ ที่อยู่ทางตะวันตกของประเทศ
นอกจากกองทัพอาระกันแล้ว กองทัพของรัฐบาลทหารยังต้องต่อสู้กับกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์อื่นๆ อีกมากมายที่ต่อต้านการปกครองจากส่วนกลางมายาวนาน และมีหน่วยกองโจรสนับสนุนประชาธิปไตยกลุ่มใหม่ๆ เข้าร่วมในแนวหน้า
ปลายเดือนที่แล้ว รัฐบาลทหารได้ยุติการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ ที่ประกาศใช้ระหว่างการรัฐประหาร และระบุว่าจะจัดกรเลือกตั้งในเดือนธ.ค.
กลุ่มฝ่ายค้าน ที่รวมถึงสมาชิกรัฐสภาที่ถูกโค่นอำนาจจากการรัฐประหารกำลังคว่ำบาตรการเลือกตั้ง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติระบุว่าการเลือกตั้งดังกล่าวเป็นเรื่องฉ้อโกงที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการปกครองต่อเนื่องของรัฐบาลทหาร
ข่าย ทู คา โฆษกของกองทัพอาระกัน กล่าวว่าการเลือกตั้งจะถูกขัดขวางในพื้นที่ที่กลุ่มควบคุมอยู่ในรัฐยะไข่ ซึ่งผู้สังเกตการณ์ความขัดแย้งระบุว่ากองทัพอาระกันควบคุมเมืองในรัฐยะไข่ได้ 14 เมืองจากทั้งหมด 17 เมือง
“การเลือกตั้งที่ปราศจากการสนับสนุนจากประชาชนจะไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และจะยิ่งสร้างความสับสนให้กับประชาชนมากขึ้น การเลือกตั้งอาจจัดขึ้นในพื้นที่ที่รัฐบาลทหารควบคุมได้ แต่เราจะไม่อนุญาตให้เกิดขึ้นในพื้นที่ที่เราควบคุมอยู่” ข่าย ทู คา กล่าว และเสริมว่า ชาวยะไข่ไม่สนใจการเลือกตั้ง
รัฐบาลทหารประเมินว่ารัฐยะไข่ ที่มีพรมแดนติดกับบังกลาเทศ มีประชากรประมาณ 2.5 ล้าคน จากประชากร 51 ล้านคนของพม่า
กองทัพอาระกันได้สงบศึกกับรัฐบาลทหารได้ยุติการสงบศึกในปลายปี 2566 โดยกลุ่มร่วมมือกับกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์อื่นๆ ในการโจมตีร่วมกัน ที่ก่อให้เกิดการสูญเสียดินแดนทั่วประเทศ
กองทัพตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศอย่างรุนแรงและปิดล้อมเพื่อตัดการเข้าถึงระหว่างรัฐชายฝั่งแห่งนี้กับพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของประเทศ
ปัจจุบันมีประชาชนราว 560,000 คน ต้องพลัดถิ่นในรัฐยะไข่ ตามข้อมูลของสหประชาชาติ
รัฐบาลทหารระบุว่าได้บังคับใช้มาตรการสถานการณ์ฉุกเฉินใน 14 เมืองของรัฐยะไข่ เพื่อรับประกันความมั่นคง สันติภาพ และหลักนิติธรรม.