เอเอฟพี - ชาวพม่าหลายร้อยครอบครัวต้องอพยพออกจากบ้านเรือนในวันเสาร์ (14) ตามการเปิดเผยของผู้จัดการชุมชน พร้อมขนข้าวของจำนวนมากขึ้นรถหนีการสู้รบระหว่างกองทัพกับกองกำลังต่อต้านการรัฐประหาร
พม่าเผชิญกับสงครามกลางเมืองหลายฝ่ายตั้งแต่กองทัพยึดอำนาจจากการรัฐประหารในปี 2564 ทำให้ประชาชนมากกว่า 3.5 ล้านคนต้องอพยพออกจากบ้านเรือน ตามข้อมูลของสหประชาชาติ
การสู้รบรุนแรงเกิดขึ้นตั้งแต่วันจันทร์ รอบหมู่บ้าน Saung Nang Khae ในรัฐชาน ทางตะวันออกของประเทศ ตามการระบุของชาวบ้านและผู้จัดการการอพยพ
ขบวนรถแทร็กเตอร์บรรทุกปศุสัตว์ รถเข็น และกระเป๋าเดินทาง ขณะที่พวกเขาขนครอบครัวชาวท้องถิ่นไปยังที่พักชั่วคราวในหมู่บ้าน BC Kone ทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 60 กิโลเมตร
เมื่อวันเสาร์ (14) โฆษกกลุ่มเยาวชนของพรรค Kayan New Land ที่ควบคุมพื้นที่ดังกล่าวและจัดการการอพยพกล่าวว่า “ปฏิบัติการช่วยเหลือกู้ภัยยังคงดำเนินต่อไป”
“เราได้อพยพประชาชนไปแล้วกว่า 600 คน แต่ยังมีองค์กรอื่นๆ ที่ให้ความช่วยเหลือชาวบ้านด้วย คาดว่ามีชาวบ้านกว่า 1,500 คน ที่ต้องอพยพไปยังสถานที่ปลอดภัย” โฆษกกลุ่ม กล่าว
กองทัพและฝ่ายตรงข้ามบางกลุ่มได้ให้คำมั่นที่จะหยุดยิงในเดือนนี้ ขณะที่ประเทศกำลังดำเนินการฟื้นฟูจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.7 แมกนิจูด เมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา ที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 3,700 คน
อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านรายหนึ่ง อายุ 24 ปี กล่าวว่าเธอต้องหลบหนีออกจากบ้านเนื่องจากการโจมตีด้วยปืนใหญ่และการโจมตีทางอากาศที่ถล่มพื้นที่บ้านเกิดของเธอ ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ที่เธอจำเป็นต้องอพยพในรอบ 2 ปี
“ฉันอยากขอให้พวกเขาหยุดทำสงคราม ทุกครั้งที่พวกเขาต่อสู้กัน เหยื่อก็คือพวกเรา พลเรือน ฉันไม่สามารถคิดถึงอนาคตของชีวิตพวกเราได้อีกต่อไปแล้ว” ชาวบ้านรายเดิม ระบุ
หลังตกอยู่ในภาวะสงครามมานาน 4 ปี กองทัพพม่าหันมาเกณฑ์ทหารเพื่อเสริมกำลังพลหลังจากสูญเสียดินแดนไปเป็นจำนวนมากให้กับฝ่ายต่อต้านการรัฐประหารและกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ที่ต่อต้านการปกครองของพม่า
แต่บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่ากองทัพยังห่างไกลจากความพ่ายแพ้ เนื่องจากกองทัพมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่า ที่ได้รับการสนับสนุนจากจีนและรัสเซีย
เกษตรกรอายุ 63 ปี กล่าวว่าการโจมตีในหมู่บ้าน Saung Nang Khae เกิดขึ้นกะทันหัน ซึ่งเขาและภรรยาต้องทิ้งบ้านไว้มีเพียงแค่เสื้อผ้าติดตัว ผ้าห่ม หม้อ และข้าวสาร 1 ถุง
“เรามีเวลาแค่วิ่งหนีออกมาเท่านั้นตอนเหตุการณ์เกิดขึ้น เราไม่สามารถคาดเดาอนาคตของเราได้เลยว่าจะเป็นอย่างไร” ชาวบ้าน ระบุ.