เอเอฟพี - ธนาคารโลกระบุว่าเศรษฐกิจของพม่ามีแนวโน้มที่จะหดตัว 2.5% ในปีงบประมาณ 2568/2569 ที่ส่วนใหญ่เป็นผลจากแผ่นดินไหวขนาด 7.7 แมกนิจูดเมื่อเดือนมี.ค.
เศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบจากสงครามกลางเมืองที่ดำเนินมาเป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว และเมื่อเกิดแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. ทำให้ประชาชนเสียชีวิตไปเกือบ 3,800 คน และยังทำให้บ้านเรือนและธุรกิจพังเสียหายเป็นบริเวณกว้าง
รายงานของธนาคารโลกคาดการณ์ว่าจีดีพีจะหดตัว 2.5% ในปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนมี.ค. 2569 ที่ส่วนใหญ่เกิดจากผลกระทบจากแผ่นดินไหว โดยผลผลิตลดลง 2,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับที่คาดไว้หากไม่เกิดภัยพิบัติดังกล่าว
“การผลิตทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบจากการปิดโรงงาน ข้อจำกัดของห่วงโซ่อุปทาน การขาดแคลนแรงงาน และความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน” คำแถลงของธนาคารโลกระบุ
แผ่นดินไหวดังกล่าวสร้างความเสียหายเป็นมูลค่าราว 11,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 14% ของจีดีพี รายงานระบุ
กรุงเนปีดอ เมืองหลวงของพม่าที่มีประชากรเบาบาง และเมืองมัณฑะเลย์ เมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ ได้รับผลกระทบรุนแรงจากแผ่นดินไหวครั้งนี้
ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าทั้งสองพื้นที่จะได้รับผลกระทบจากผลผลิตที่ลดลง 1 ใน 3 ระหว่างเดือนเม.ย. ถึงเดือนก.ย. ก่อนที่จะได้รับการสนับสนุนจากความพยายามฟื้นฟูในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณ
“แผ่นดินไหวทำให้มีผู้เสียชีวิตและพลัดถิ่นเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็ทำให้สภาพเศรษฐกิจที่ยากลำบากอยู่แล้วเลวร้ายลง ยิ่งทดสอบความสามารถในการฟื้นตัวของชาวพม่ามากขึ้นไปอีก” เมลินดา กู๊ด ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทยและพม่า ระบุ
กองทัพพม่ายึดอำนาจในการรัฐประหารปี 2564 ที่ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองหลายฝ่ายระหว่างกองกำลังของกองทัพ กองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนประชาธิปไตย และกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ชายแดนของประเทศมาอย่างยาวนาน
แม้ว่ากองทัพและฝ่ายต่อต้านบางส่วนให้คำมั่นว่าจะหยุดยิงตลอดเดือนนี้เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้ความช่วยเหลือ แต่การสู้รบยังคงดำเนินต่อไปในสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
การสู้รบได้ทำลายเศรษฐกิจของประเทศ โดยรายงานของธนาคารโลกระบุว่าอัตราเงินเฟ้อสำหรับปีที่สิ้นสุดในเดือนเม.ย. 2568 อยู่ที่ 34.1%
ปัจจุบันมีผู้คนมากกว่า 3 ล้านคนต้องพลัดถิ่นในประเทศ และธนาคารโลกระบุว่าอัตราความยากจนในปี 2567 อยู่ที่ประมาณมากกว่า 30%.