MGR ออนไลน์ - นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ย้ำชัดว่าการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะยื่นเรื่องข้อพิพาทพรมแดนกับไทยไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย รวมถึงการถอนตัวจากกรอบความร่วมมือเขตพื้นที่สามเหลี่ยมการพัฒนากัมพูชา-ลาว-เวียดนาม (CLV-DTA) ไม่ได้เกิดขึ้นจากแรงกดดันจากกลุ่มฝ่ายค้าน
ความคิดเห็นของผู้นำกัมพูชาดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางคำกล่าวอ้างของนักการเมืองฝ่ายค้านที่กล่าวหาว่า การยื่นฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศของรัฐบาลและการยุติโครงการ CLV-DTA เป็นการตอบสนองต่อแรงกดดันจากฝ่ายค้าน ขณะที่บางคนถึงกับเสนอว่าควรนำพรมแดนกัมพูชา-ไทยยาว 800 กิโลเมตรทั้งหมดไปขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวกับบรรดาผู้วิจารณ์เหล่านี้ว่าเป็นพวกฉวยโอกาสทางการเมืองที่พยายามหาผลประโยชน์จากปัญหาระดับชาติที่ซับซ้อน
“ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกำลังดำเนินการกับคดีต่างๆ มากมาย ไม่ได้นั่งเฉยอยู่รอประเด็นของกัมพูชา หากเรายื่นข้อพิพาทชายแดนทั้งหมด 800 กิโลเมตร ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะไม่รับเรื่อง” นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวย้ำ
“จากสิ่งที่ผมเห็น ผู้ที่ให้คำแนะนำดังกล่าวเป็นคนของพรรคการเมืองที่ไม่เคยชนะการเลือกตั้ง ทำไมพรรครัฐบาลซึ่งได้รับการเลือกตั้งโดยประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหาระดับชาติจึงต้องขอคำแนะนำจากพรรคการเมืองที่พ่ายแพ้มาโดยตลอด หยุดการยั่วยุที่ไม่มีมูลความจริง พวกเขาอ้างว่าเรายื่นฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพราะพวกเขา ยุติ CLV เพราะพวกเขา และให้เราเลิกเจรจาและส่งประเด็นชายแดนทั้งหมดไปที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ผมขอชี้แจงให้ชัดเจนว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่มีเวลาว่าง มีประเทศเกือบ 200 ประเทศยื่นเรื่องไปที่ศาล หากศาลจะรับเรื่อง ก็จำเป็นจะต้องมีพื้นฐานทางกฎหมายที่สมเหตุสมผล กลไกทวิภาคีจะต้องเสร็จสิ้นก่อน จากนั้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจึงจะพิจารณาเรื่องดังกล่าว เราไม่สามารถโยนข้อพิพาททั้งหมด 800 กิโลเมตรไปให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้วคาดหวังว่าจะมีคำตัดสินได้” ฮุน มาเนต กล่าว
ผู้นำเขมรยังชี้แจงเพิ่มเติมว่าส่วนของพรมแดนกัมพูชา-ไทย ที่ยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศนั้นเป็นพื้นที่ที่ยังไม่บรรลุข้อตกลงใดๆ สำหรับพื้นที่ที่มีฉันทมติทวิภาคีอยู่แล้ว ความพยายามปักปันเขตแดนจะดำเนินต่อไป เมื่อข้อพิพาทถูกนำขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว จะไม่สามารถเจรจากันได้อีกเนื่องจากศาลมีอำนาจเหนือเรื่องดังกล่าว
นอกจากนี้ ฮุน มาเนตยังย้ำว่าการยื่นข้อพิพาทพรมแดนไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่ใช่การทำสงครามต่อประเทศไทย แต่เป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ยืดเยื้อมานานด้วยวิธีการทางกฎหมายและสันติวิธี นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้ประชาชนชาวกัมพูชาหลีกเลี่ยงไม่ให้ปัญหาพรมแดนกลายเป็นต้นตอของความขัดแย้งทางชาติพันธุ์.