เอเอฟพี - จีนและเวียดนามได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือหลายสิบฉบับในวันจันทร์ (14) ที่กระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หลังจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เตือนว่าลัทธิกีดกันทางการค้าไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร และสงครามการค้าจะไม่ทำให้มีผู้ชนะ
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เดินทางเยือนเวียดนามเป็นแห่งแรกของการเยือนประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ปักกิ่งพยายามแสดงตนเป็นทางเลือกที่มั่นคงแทนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่ไม่แน่นอน ซึ่งประกาศขึ้นภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ในเดือนนี้ และกลับคำไปมา
ประธานาธิบดีจีนได้รับการต้อนรับที่กรุงฮานอยด้วยการยิงสลุต 21 นัด กองทหารเกียรติยศ และเด็กๆ ที่โบกธงเป็นแถวที่ทำเนียบประธานาธิบดี ก่อนจะเข้าหรือกับผู้นำระดับสูงของเวียดนาม รวมถึงโต เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์
เพื่อนบ้านทั้งสองได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือ 45 ฉบับ รวมทั้งห่วงโซ่อุปทาน ปัญญาประดิษฐ์ การลาดตระเวนทางทะเลร่วมกัน และการพัฒนาระบบรางรถไฟ
การเยือนของผู้นำจีนครั้งนี้เกิดขึ้นเกือบ 2 สัปดาห์หลังจากสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของเวียดนามในช่วง 3 เดือนแรกของปี ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามมากถึง 46% ที่เป็นส่วนหนึ่งของสงครามการค้าโลก
แม้ว่าภาษีตอบโต้ต่อเวียดนามและประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่จะถูกระงับ แต่จีนยังคงเผชิญกับภาษีจำนวนมหาศาล และกำลังพยายามกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าระดับภูมิภาค และชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกของผู้นำจีนในปีนี้
ปักกิ่งระบุว่า สี จิ้นผิง จะเดินทางออกจากเวียดนามในวันอังคาร โดยจะเดินทางต่อไปยังมาเลเซียและกัมพูชาในการเดินทางเยือนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับภูมิภาคเป็นวงกว้าง
ระหว่างการพบหารือกับโต เลิม ผู้นำจีนกล่าวว่าเวียดนามและจีนยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ และควรเดินหน้าต่อไปโดยร่วมมือกัน
ก่อนหน้านี้ สี จิ้นผิง เรียกร้องให้ทั้งสองประเทศปกป้องระบบการค้าพหุภาคี ห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรมระดับโลกที่มั่นคง และสภาพแวดลล้อมระหว่างประเทศที่ร่วมมือและเปิดกว้าง
นอกจากนี้ เขายังย้ำถึงแนวทางของปักกิ่งว่า สงครามการค้าและสงครามภาษีจะไม่ทำให้มีผู้ชนะ และลัทธิกีดกันทางการค้าไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ในบความที่เผยแพร่ในวันจันทร์ในหนังสือพิมพ์เญินเซินของรัฐบาลเวียดนาม
โต เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ระบุในบทความที่โพสต์ลงบนเว็บไซต์จ่าวของรัฐบาลในวันจันทร์ว่า ประเทศของเขาพร้อมเสมอที่จะร่วมมือกับจีนเพื่อให้ความร่วมมือระหว่างสองประเทศมีความหมาย ลึกซึ้ง สมดุล และยั่งยืนมากขึ้น
เวียดนามเป็นผู้ซื้อสินค้าจีนรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2567 ด้วยมูลค่า 161,900 ล้านดอลลาร์ รองลงมาคือมาเลเซีย ที่นำเข้าสินค้าจีนเป็นมุลค่า 101,500 ล้านดอลลาร์
การกระชับความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจช่วยชดเชยผลกระทบจากสหรัฐฯ ที่ปิดลง ซึ่งเป็นผู้รับสินค้าจีนรายใหญ่ที่สุดในปีที่แล้ว
สี จิ้นผิง เดินทางเยือนเวียดนามเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2566
จีนและเวียดนามต่างเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมร่วมกันอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสถานะทางการทูตสูงสุดของฮานอย
เวียดนามดำเนินแนวทางการทูตไผ่ลู่ลมมานานแล้ว โดยมุ่งมั่นที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งจีนและสหรัฐฯ
ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิด แต่ฮานอยมีความกังวลร่วมกันกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับการรุกรานมากขึ้นในทะเลจีนใต้ที่เป็นข้อพิพาท
จีนอ้างสิทธิเกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้ แต่ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และบรูไน โต้แย้งเรื่องนี้
ผู้นำจีนยืนกรานในบทความว่าปักกิ่งและฮานอยสามารถแก้ไขข้อพิพาทเหล่านั้นผ่านการเจรจาได้
“เราควรจัดการความต่างอย่างเหมาะสมและรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคของเรา ด้วยวิสัยทัศน์ เรามีความสามารถเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาทางทะเลอย่างเหมาะสมผ่านการปรึกษาหารือและการเจรจา” สี จิ้นผิง ระบุ
โต เลิม กล่าวในบทความของเขาว่า “ความพยายามร่วมกันเพื่อควบคุมและแก้ไขข้อขัดแย้งอย่างน่าพอใจ เป็นปัจจัยสำคัญในสถานการณ์ระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศที่ซับซ้อนและคาดเดาไม่ได้ในปัจจุบัน”
หลังจากเยือนเวียดนามแล้ว ผู้นำจีนจะเดินทางเยือนมาเลเซียตั้งแต่วันอังคารถึงวันพฤหัสฯ
รัฐมนตรีกระทรวงการสื่อสารของมาเลเซียกล่าวว่าการเยือนของสี จิ้นผิง เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งจีน
จากนั้น ประธานาธิบดีจีนจะเดินทางไปยังกัมพูชา ที่เป็นหนึ่งในพันธมิตรที่เหนียวแน่นที่สุดของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นสถานที่ที่ปักกิ่งได้ขยายอิทธิพลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา.