MGR Online - พระภิกษุหลวงพระบาง ร่วมกับทายาทนายช่างหลวงประจำราชสำนักล้านช้าง ค้นคว้าข้อมูลสร้างแบบจำลองหอคำหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งถูกใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์ลาวนานนับ 100 ปี ก่อนถูกเผาเมื่อ 200 ปีก่อน หวังใช้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ของคนรุ่นหลัง
วานนี้ (11 เม.ย.) เพจ"นครหลวงพระบาง" ได้เผยแพร่แบบจำลองหอคำหลวง หรือพระราชวังเวียงจันทน์ ซึ่งถูกสร้างและใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์ล้านช้าง ตั้งแต่ยุคของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช(พ.ศ.2091-2114) มาจนถึงยุคของพระเจ้าสุริยะวงศาธรรมิกราช(พ.ศ.2181-2238)
แบบจำลองชุดนี้ สาธุพ่อ(หลวงพ่อ) บุนเพ็ง วิละทำโม จากวัดแสนสุขาราม นครหลวงพระบาง ได้ค้นคว้าข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง รวมถึงหาแหล่งเงินทุนจัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา เรียนรู้ โดยได้นายช่างเอก ท้าวสุริยา ขัดติยะราช บุตรของสาธุลุง มะนีวง ขัดติยะราช นายช่างหลวงประจำราชสำนัก เป็นผู้ลงมือสร้าง
รูปแบบพระราชวัง หรือหอคำหลวงเวียงจันทน์ในแบบจำลอง มี 9 ยอด หรือ 9 อาคาร ครอบคลุมอาณาเขตกว้างขวาง โดยทางทิศเหนือกินพื้นที่ถึงอาคารกระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และท่องเที่ยว ในปัจจุบัน ทิศตะวันออก กินพื้นที่จรดวัดสีสะเกด หอพระแก้ว ถนนมะโหสด ทิศใต้กินพื้นที่ไปจรดแม่น้ำโขง และทิศตะวันตกติดวัดกลาง หรือโรงแรมล้านช้างในปัจจุบัน
พระราชวังด้านที่ติดกับแม่น้ำโขง มีประตูโขงเพื่อใช้เป็นทางเสด็จของกษัตริย์ไปยังสถานที่จัดงานบุญต่างๆ ที่ในอดีตมักใช้พื้นที่ริมแม่น้ำโขงเป็นสถานที่จัด
ภายในพระราชวัง มีการปลูกต้นไม้หลากหลายชนิด ทั้งต้นงิ้ว ต้นสัก ต้นกล้วย ต้นตาล
ตัวอาคารหอคำหลวงเป็นตึกชั้นเดียวยกสูง เทียบได้กับอาคาร 2 ชั้น สร้างด้วยดินเผา มุงหลังคาดินขอ กรอบหน้าต่างทำจากไม้แกะสลักเป็นลวดลายต่างๆที่งดงาม ปิดด้วยทองคำเปลว พื้นพระราชวังชั้นล่างปูด้วยกระเบื้องดินเผา ชั้นบนปูด้วยไม้แป้น ส่วนยอดปราสาทสร้างด้วยทองคำ
อาคารโดยรอบ ใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์ พระมเหสี ที่พักและที่ทำงานของผู้ถวายการรับใช้ ราชเลขา ค่ายทหารรักษาพระองค์ นอกจากนั้น ยังมีคอกช้าง คอกม้า สวนดอกไม้ สระบัว
เลียบกำแพงวังด้านในปลูกด้วยไม้จวง ไม้จันทน์ ซึ่งล้วนเป็นไม้เนื้อหอม นอกจากนี้ยังมีแนวต้นหมาก ต้นตาล ต้นมะพร้าว ต้นฝางแดง ต้นจำปา ต้นคูน และไม้ดอกอื่นๆที่ออกดอกตามฤดูกาล เพื่อนำดอกไม้ไปประกอบพิธีทางศาสนาของแต่ละเดือน
ตามข้อมูลที่บันทึกไว้ พระราชวังหรือหอคำหลวงเวียงจันทน์ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ถูกเผาโดยศักดินาต่างด้าว เมื่อ พ.ศ.2323 ต่อมาในสมัยพระเจ้าอานุวง ได้สร้างกลับคืนมาใหม่เมื่อ พ.ศ.2351 แต่ก็ต้องถูกเผาทำลายลงอีกเป็นครั้งที่ 2 ใน พ.ศ.2371