MGR ออนไลน์ - สื่อเวียดนามรายงานอ้างคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีฝ่าม มีง จีง ว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม แต่ก็ไม่ใช่ตลาดเดียวเท่านั้น โดยเรียกร้องให้ธุรกิตต่างๆ แสวงหาผู้ซื้อที่มีศักยภาพจากประเทศอื่นๆ ด้วย
จากประเด็นภาษีนำเข้าล่าสุดที่ทำเนียบขาวกำหนดกับเวียดนามและคู่ค้าทั้งหมด ผู้นำเวียดนามได้เรียกร้องให้มีการปรับโครงสร้างการส่งออกของประเทศเพื่อกระจายตลาด
“ตลาดส่งออกจำเป็นต้องปรับโครงสร้างใหม่ และต้องปรับปรุงคุณภาพสินค้าเพื่อเจาะตลาดที่มีศักยภาพสูงอื่นๆ เช่น ตะวันออกหลาง ยุโรปตะวันออก เอเชียกลาง ละตินอเมริกา อินเดีย และอาเซียน” นายกฯ ฝ่าม มีง จีง กล่าวในที่ประชุมของรัฐบาลเมื่อวันอาทิตย์
นอกจากนี้ นายกฯ จีงยังกล่าวว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้ไปในทิศทางที่มีความรวดเร็วขึ้นและยั่งยืนมากขึ้น โดยอาศัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
ผู้นำเวียดนามยังเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของประเทศในการกระจายตลาดผลิตภัณฑ์และห่วงโซ่อุปทานโดยร่วมมือกับพันธมิตร โดยวางความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนามไว้ในกรอบความสัมพันธ์ที่กว้างขึ้น และกับประเทศต่างๆ ที่ผูกพันกับเวียดนามผ่านข้อตกลงการค้าเสรี และสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่โดนเรียกเก็บภาษีตอบโต้สูงถึง 46% ที่กำหนดให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย.นี้
ในการประชุม เหวียน วัน ท้าง รัฐมนตรีกระทรวงการคลังได้เตือนถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่รออยู่ข้างหน้า ที่ปัจจัยในการขับเคลื่อนการเติบโตอยู่ภายใต้ความตึงเครียด และเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาคเผชิญกับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
อัตราภาษี 46% อาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่เผชิญกับอุปสรรคจะส่งผลกระทบต่อการผลิต การดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การลงทุนภาคเอกชน การบริโภคภายในประเทศ และการจ้างงาน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังระบุ
“นี่เป็นแรงกดดันมหาศาลต่อการบรรลุเป้าหมายการเติบโตของรัฐบาล” เหวียน วัน ท้าง ระบุ
เวียดนามตั้งเป้าเติบโตอย่างน้อย 8% ในปี 2568 ที่รัฐบาลปฏิเสธที่จะปรับเปลี่ยนเป้าหมายแม้จะมีแรงกดดันด้านภาษีและการแข่งขันทางการค้าก็ตาม โดยกระทรวงการคลังประเมินว่าจีดีพีต้องเติบโตที่ 8.3% ในช่วง 9 เดือนที่เหลือ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว หลังจากเศรษฐกิจในไตรมาสแรกขยายตัวที่ 6.9%
กระทรวงเรียกร้องให้มีการเจรจาทวิภาคีที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นกับสหรัฐฯ เพื่อเจรจาอัตราภาษีที่ยุติธรรมและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายอย่างสมดุล และยังเรียกร้องให้รักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค กระตุ้นการลงทุนของเอกชน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการพัฒนาตลาดในประเทศ ควบคู่ไปกับการปรับปรุงกฎหมายและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
นายกฯ จีง กล่าวว่านโยบายอัตราภาษีของสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้การค้าโลกและห่วงโซ่อุปทานเสียหาย ด้วยการตอบสนองที่แตกต่างกันของประเทศต่างๆ และตลาดหุ้นที่ตกต่ำอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทั่วโลก
เขาได้เน้นย้ำถึงจุดยืนเชิงรุกของเวียดนาม โดยระบุว่าตั้งแต่ต้นปี เวียดนามได้ใช้มาตรการที่เป็นไปได้ทุกอย่างแล้ว รวมถึงพรรคและผู้นำประเทศ พร้อมด้วยกระทรวงต่างๆ ได้มีส่วนร่วมกับสหรัฐฯ ผ่านช่องทางทางการเมืองและการทูต
สำหรับภายในประเทศ ทางการได้ดำเนินมาตรการต่างๆ รวมทั้งการสำรวจการลดภาษีนำเข้า การส่งเสริมและผ่อนคลายเงื่อนไขสำหรับบริษัทต่างชาติ รวมทั้งบริษัทของอเมริกัน โดยยึดหลักของผลประโยชน์ที่สอดประสานกันและความเสี่ยงร่วมกัน
หลังจากสหรัฐฯ เปิดเผยนโยบายด้านภาษี รัฐบาลเวียดนามได้ประชุมหารือกันเพื่อสรุปข้อมูลต่อโปลิตบูโรและกำหนดแนวทางตอบสนอง โดยให้ความสำคัญกับการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อชะลอการจัดเก็บภาษีออกไปเพื่อเจรจาหารือในรายละเอียด ซึ่งเมื่อวันที่ 5 เม.ย. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐได้พบหารือกันอีกครั้งเพื่อดำเนินการตามข้อสรุปของโปลิตบูโร และมีการเจรจาหารือทางโทรศัพท์ระหว่างโต เลิม เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ผู้นำเวียดนามระบุว่า แม้อัตราการเติบโตของประเทศในไตรมาสแรกจะอยู่ที่ 6.96% แต่ยังถือเป็นสัญญาณบวก ท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ เช่น แรงกดดันด้านอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย การฟื้นตัวของกำลังซื้อที่ล่าช้า ช่องว่างนโยบายที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ และการเบิกจ่ายการลงทุนของภาครัฐที่ล่าช้า.