เอเอฟพี - ผู้ชุมนุมถือป้ายที่เรียกผู้นำรัฐบาลทหารพม่าว่าฆาตกรในขณะที่เขาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดระดับภูมิภาคในกรุงเทพฯ วันนี้ (4) หนึ่งสัปดาห์หลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนไปหลายพันคน ขณะที่ผู้รอดชีวิตร้องขออาหารและที่พักอาศัย
มีการยืนยันผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวขนาด 7.7 แมกนิจูดแล้วมากกว่า 3,000 คน และสหประชาชาติประเมินว่ามีผู้ที่ได้รับผลกระทบไม่ว่าทางใดทางหนึ่งมากถึง 3 ล้านคน โดยหลายคนไม่มีที่พักพิงหลังจากบ้านเรือนของพวกเขาถูกทำลาย
หลายประเทศได้ส่งทีมกู้ภัยและความช่วยเหลือไปแล้ว แต่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดบางแห่ง แทบไม่มีสัญญาณที่บ่งชี้ว่ากองทัพพม่าให้ความช่วยเหลือผู้รอดชีวิต
พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารจะหารือกับผู้นำจากประเทศชายฝั่งอ่าวเบงกอล ที่โรงแรมหรูในกรุงเทพฯ วันนี้
การตัดสินใจเชิญผู้นำรัฐบาลทหารพม่าเข้าร่วมการประชุมทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ และด้านนอกสถานที่จัดการประชุม ผู้ประท้วงได้แขวนป้ายบนสะพานที่มีข้อความระบุว่า ‘เราไม่ต้อนรับฆาตกรมิน อ่อง หล่าย’
ในเมืองสะกาย เมืองที่อยู่ใกล้ศูนย์กลางแผ่นดินไหวเมื่อสัปดาห์ก่อนและอาคารบ้านเรือนกว่า 80% ได้รับความเสียหาย นักข่าวของเอเอฟพีระบุว่าเห็นผู้คนหลายร้อยชีวิตที่อยู่ในสภาพอ่อนล้าและหิวโหยต่างดิ้นรนหาเสบียง
ทีมอาสาสมัครพลเมืองจากทั่วพม่าเดินทางมาที่สะกาย ที่ในรถบรรทุกมีน้ำดื่ม น้ำมันประกอบอาหาร ข้าว และสิ่งของจำเป็นพื้นฐาน
บ้านเรือนจำนวนมากในเมืองสะกายและเมืองมัณฑะเลย์ที่อยู่ใกล้เคียงไม่สามารถอยู่อาศัยได้เนื่องจากแผ่นดินไหว ผู้รอดชีวิตต้องนอนอยู่บนถนนมาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว และพวกเขาต้องการที่พักพิงที่เหมาะสม
ที่ดินผืนหนึ่งในมัณฑะเลย์ เต็มไปด้วยเต็นท์ของผู้คนที่บ้านพังถล่มหรือคนที่หวาดกลัวจนไม่กล้ากลับเข้าไปในบ้านเพราะอาฟเตอร์ช็อก
“มีคนจำนวนมากที่ต้องการความช่วยเหลือ เวลาที่มีผู้นำสิ่งของมาบริจาคก็จะเกิดความวุ่นวาย” หล่า มี้น โป คนขับแท็กซี่อายุ 30 ปี ที่อาศัยอยู่ในเต็นท์กับครอบครัว กล่าว
ขณะที่วิกฤตยังคงลุกลามในพม่า พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้ร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำสุดหรูพร้อมผู้นำประเทศคนอื่นๆ ในกลุ่ม BIMSTEC ที่โรงแรมแชงกรีลาในกรุงเทพฯ
นายพลผู้นี้โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของอองซานซูจี ในการรัฐประหารปี 2564 ที่ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองนองเลือด และถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมสงคราม และละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ถูกหลายชาติคว่ำบาตร และอัยการสูงสุดของศาลอาญาระหว่างประเทศได้ขอหมายจับเขาในข้อกล่าวหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยธรรมต่อชาวมุสลิมโรฮิงญา
ในขณะที่ชาวพม่าต้องดิ้นรนจากผลพวงของแผ่นดินไหว กองทัพดำเนินการโจมตีทางอากาศต่อกลุ่มติดอาวุธ ที่ทำให้หลายประเทศออกมาประณามอย่างรุนแรง
แต่ผู้นำรัฐบาลทหารได้รับการต้อนรับอย่างดีจากรัฐบาลไทยขณะที่เขาเดินทางมาถึงเพื่อร่วมประชุมกับนายกรัฐมนตรีของไทยและผู้นำประเทศอื่นๆ ในอ่าวเบงกอล
รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) หรือรัฐบาลเงาของพม่าได้ประณามการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดครั้งนี้ และระบุว่าความเคลื่อนไหวนี้เป็นการดูหมิ่นกระบวนการยุติธรรม ที่ประชาชนชาวพม่าต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัส
“การปล่อยให้ผู้นำรัฐบาลทหารและตัวแทนของเขาเข้าร่วมในเวทีระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติมีความเสี่ยงที่จะทำให้ระบอบการปกครองที่ผิดกฎหมายได้รับการยอมรับ” NUG ระบุในคำแถลง
ยาดานา หม่อง จากกลุ่มรณรงค์ Justice for Myanmar กล่าวว่าเป็นเรื่องน่าผิดหวังที่ไทยและ BIMSTEC ต้อนรับเขา
“การกระทำดังกล่าวทำให้รัฐบาลทหารที่ประชาชนชาวพม่าต่อต้านมานานกว่า 4 ปี ได้รับการยอมรับและกล้ามากขึ้น” ยาดานา หม่อง กล่าว
ชาติตะวันตกหลายชาติดำเนินมาตรการคว่ำบาตรนับตั้งแต่เกิดการรัฐประหาร ทำให้รัฐบาลทหารพม่าหันไปหาพันธมิตรใกล้ชิดอย่างปักกิ่งและมอสโกเพื่อขอการสนับสนุน เนื่องจากพวกเขากำลังดิ้นรนเพื่อให้ได้ความได้เปรียบในสงครามกลางเมืองที่ซับซ้อนและมีหลายฝ่าย
BIMSTEC เป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกของพลอ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย นอกเหนือไปจากจีน รัสเซีย และเบลารุส นับตั้งแต่เขาเข้าร่วมการประชุมระดับภูมิภาคอีกนัดหนึ่งในอินโดนีเซียตั้งแต่ปี 2564 ไม่นานหลังการรัฐประหาร
การประชุมที่กรุงเทพฯ ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากที่ผู้นำรัฐบาลทหารซึ่งถูกโดดเดี่ยวจะได้พบหารือแบบตัวต่อตัวกับผู้ที่มีอำนาจในระดับภูมิภาคที่สำคัญ รวมถึงนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย
ไทย ที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม BIMSTEC ได้เสนอให้ผู้นำออกแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับผลกระทบของภัยพิบัติเมื่อพวกเขาพบหารือกันในวันศุกร์
ความเสียหายจากแผ่นดินไหว ที่เป็นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดของพม่าในรอบหลายทศวรรษ ทำให้กลุ่มติดอาวุธสำคัญหลายกลุ่มในสงครามกลางเมืองประกาศหยุดยิงชั่วคราวเพื่อให้ปฏิบัติการกู้ภัยและบรรเทาทุกข์ดำเนินการได้ง่ายขึ้น และตามมาด้วยการประกาศหยุดยิงจากกองทัพ
แต่ทุกฝ่ายยังคงกล่าวว่าพวกเขาจะสงวนสิทธิในการดำเนินการเพื่อป้องกันตนเอง และยังคงมีรายงานการสู้รบอยู่เป็นระยะ.