เอเอฟพี - โฆษกกองทัพพม่าเผยว่าผู้นำรัฐบาลทหารจะเข้าร่วมการประชุมระดับภูมิภาคที่กรุงเทพฯ ในสัปดาห์หน้า ที่ถือเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศนอกประเทศพันธมิตรใกล้ชิดอย่างรัสเซียและจีนที่หาได้ยาก ในขณะที่เขากำลังพยายามควบคุมสงครามกลางเมืองที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ซอ มิน ตุน โฆษกของรัฐบาลทหารพม่ากล่าวกับนักข่าวว่า พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย จะเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อร่วมการประชุมของผู้นำประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ รวมพม่าและไทย โดยการเยือนครั้งนี้มีศักยภาพที่จะทำให้สันติภาพเกิดขึ้นได้
นับตั้งแต่ยึดอำนาจในการรัฐประหารปี 2564 ส่วนใหญ่แล้วเขาเดินทางไปเยือนเพียงแค่รัสเซีย ที่เป็นผู้จัดหาอาวุธหลักของรัฐบาล และจีนที่เป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและผู้สนับสนุนทางการเมืองหลักเท่านั้น
การประกาศที่น่าประหลาดใจนี้เกิดขึ้นหลังจากพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ยืนยันว่าการเลือกตั้งจะดำเนินการตามแผนต่อไปแม้จะมีความขัดแย้งก็ตาม ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อทหารและบุคคลสำคัญหลายพันคนในพิธีสวนสนามเนื่องในวันกองทัพพม่า
“เขาจะเข้าร่วมการประชุม และเรากำลังพยายามที่จะพบหารือกับผู้นำแต่ละประเทศของกลุ่ม BIMSTEC ด้วย เราคาดหวังว่าจะได้เห็นการพัฒนาที่เป็นไปได้สำหรับพม่า ความเป็นไปได้ของสันติภาพและการพัฒนาเศรษฐกิจของเราผ่านการประชุมครั้งนี้” ซอ มิน ตุน กล่าวกับนักข่าวในกรุงเนปีดอ
เขายังกล่าวว่า อองซานซูจี ที่รัฐบาลพลเรือนของเธอถูกโค่นอำนาจจากการรัฐประหารในปี 2564 มีสุขภาพแข็งแรง
เธอกำลังรับโทษจำคุกจากข้อกล่าวหาทางอาญาต่างๆ ที่ผู้สนับสนุนของเธอกล่าวว่าถูกกุขึ้นเพื่อไม่ให้เธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
ผู้นำจากประเทศสมาชิก BIMSTEC 7 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย พม่า เนปาล ศรีลังกา และไทย จะพบหารือกันที่กรุงเทพฯ ในวันศุกร์หน้า
การประชุมครั้งนี้จะถือเป็นจุดเปลี่ยนทางการทูตของรัฐบาลทหารพม่า ที่ผู้นำและรัฐมนตรีของประเทศถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วมการประชุมของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่เป็นกลุ่มภูมิภาคหลัก เนื่องจากการรัฐประหาร
อาเซียนเป็นผู้นำในการดำเนินความพยายามทางการทูตเพื่อยุติวิกฤตพม่า แต่จนถึงขณะนี้ยังคงไม่ประสบผลสำเร็จ
ในคำกล่าวสุนทรพจน์ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้ประณามกลุ่มติดอาวุธที่ต่อสู้กับการปกครองของเขาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ที่ขับเคลื่อนโดยขุนศึก หลังจากพ่ายแพ้ในสนามรบอย่างต่อเนื่องในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
เครื่องบินที่ผลิตโดยรัสเซียบินอยู่เหนือศีรษะและกองกำลังทหารเดินสวนสนามในกรุงเนปีดอที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาสำหรับงานนี้ ที่มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ในช่วง 4 ปี ของสงครามกลางเมือง นับตั้งแต่กองทัพโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนของอองซานซูจี
พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย กล่าวว่าทางการยังคงยึดมั่นกับแผนที่ประกาศไว้เมื่อต้นเดือนว่าจะจัดการเลือกตั้งตามที่ให้คำมั่นไว้ แม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศจะอยู่นอกการควบคุมของรัฐบาลทหาร
“ทางการกำลังจัดเตรียมการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธ.ค. ที่จะถึงนี้” พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย กล่าว
รัฐบาลทหารสูญเสียเมืองสำคัญทางตอนเหนืออย่างล่าเสี้ยว รวมถึงกองบัญชาการทหารภูมิภาค และพื้นที่บางส่วนของรัฐยะไข่ นับตั้งแต่วันกองทัพปีก่อน นอกจากนี้ยังพยายามเกณฑ์ทหารมากกว่า 50,000 คน
สงครามกลางเมืองทำให้กองกำลังทหารของรัฐบาลต้องต่อสู้กับทั้งกลุ่มกองโจรต่อต้านการรัฐประหารและกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์
ผู้คนมากกว่า 3.5 ล้านคนต้องอพยพพลัดถิ่นจากความขัดแย้ง โดยครึ่งหนึ่งของประชากรอาศัยอยู่ในความยากจน และพลเรือน 1 ล้านคนเผชิญกับการตัดความช่วยเหลือจากโครงการอาหารโลกในเดือนหน้า หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดลดงบประมาณด้านมนุษยธรรมของวอชิงตัน
ในขณะเดียวกัน การคว่ำบาตรทางการค้าทำให้พม่าโดดเดี่ยว ส่งผลพม่าหันไปพึ่งจีนและรัสเซียมากขึ้นเพื่อการสนับสนุนทางเศรษฐกิจและการทหาร
ในช่วงปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่าปักกิ่งมีบทบาทในพม่ามากเพียงใด ทั้งกับกองทัพและฝ่ายตรงข้ามเพื่อแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพชายแดน นักวิเคราะห์กล่าว
หลังจากที่ประชาชนจีนแสดงความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับศูนย์หลอกลวงออนไลน์ในพม่า คนงานหลายพันคนถูกส่งตัวกลับประเทศตามความต้องการของปักกิ่ง
รัฐบาลตะวันตกกล่าวว่าการเลือกตั้งภายใต้รัฐบาลทหารชุดปัจจุบันจะไม่สามารถดำเนินไปอย่างเสรีหรือยุติธรรมได้
แต่พวกพ้องในรัฐบาลทหารกำลังผลักดันให้มีการเลือกตั้งเพื่อลดตำแหน่งของพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ท่ามกลางความขัดแย้งเกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้งของเขา ตามที่นักวิเคราะห์พม่าที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ กล่าวโดยขอไม่เปิดเผยชื่อ
พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ดำรงตำแหน่งทั้งรักษาการประธานาธิบดี และผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่เขาจะต้องสละหนึ่งในบทบาทเหล่านั้นเพื่อจัดการเลือกตั้ง
“มินอ่องหล่ายไม่ต้องการจัดการเลือกตั้ง แต่บรรดานายพลที่ใกล้ชิดกับเขาได้เตือนถึงสถานการณ์ที่กำลังเลวร้ายลง” นักวิเคราะห์ กล่าว.