xs
xsm
sm
md
lg

‘ฮุน มาเนต’ เปิดภาพเก่าเจรจาชายแดนกัมพูชา-ไทยปี 54 ยุติความขัดแย้ง ย้ำเป็นบทเรียนไม่ให้เกิดซ้ำรอย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



MGR ออนไลน์ - สำนักข่าวขแมร์ไทม์สรายงานว่านายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ได้แบ่งปันภาพถ่ายหายากที่เพิ่งพบ ซึ่งบันทึกช่วงเวลาสำคัญเมื่อวันที่ 19 ก.พ.2554 ในความพยายามทางการทูตเพื่อคลี่คลายเหตุปะทะด้วยอาวุธระหว่างกัมพูชาและไทย

ภาพถ่ายเหล่านี้ถ่ายที่จุดผ่านแดนช่องจอม-ช่องสะงำ ใน จ.อุดรมีชัย ของกัมพูชา ที่แสดงให้เห็นถึงการเจรจาระดับสูงเพื่อยุติการสู้รบระหว่างทหารทั้งสองประเทศ ผู้นำกัมพูชากล่าวถึงเรื่องนี้บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

เขาระบุว่าในช่วงเวลานั้น คณะผู้แทนกัมพูชานำโดยตัวเขาเอง ที่ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองทัพบกกัมพูชา พร้อมด้วยพล.อ.เจีย มอน ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 พล.อ.สเรย เดก ผู้บัญชากรกองพลทหารราบที่ 3 ส่วนคณะผู้แทนไทยภายใต้การนำของผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2

“วัตถุประสงค์ของเราคือยุติการสู้รบที่ปะทุขึ้นในปี 2551 ใกล้กับปราสาทพระวิหาร และต่อมาลุกลามไปยังปราสาทตาเมือน และปราสาทตาควาย ในปี 2554” นายกฯ ฮุน มาเนต กล่าว

ผู้นำกัมพูชายังกล่าวว่า “สิ่งสำคัญคือต้องชี้แจงว่าไม่ใช่กองทัพหรือรัฐบาลที่ยุยงให้เกิดการสู้รบ แต่เกิดจากการกระทำของนักการเมืองไทยที่มีแนวคิดชาตินิยมสุดโต่งไม่กี่คน ภายใต้หน้ากากของความรักชาติ พวกเขาบุกรุกเข้ามาในดินแดนอธิปไตยของกัมพูชา และยึดวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ใกล้กับปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 15 ก.ค.2551”

การยั่วยุที่เกิดขึ้นในพื้นที่ไม่นานก็กลายเป็นการเผชิญหน้าทางทหารที่ยาวนานกว่า 3 ปี การปะทะกันส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายสูญเสียชีวิต และทำให้พลเรือนชาวกัมพูชาและไทยหลายพันคนต้องอพยพออกจากบ้านเรือนของตนเอง ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนักในหลายภาคส่วน

ความขัดแย้งดังกล่าวถือเป็นการเตือนถึงภัยอันตรายที่เกิดขึ้นจากแนวคิดชาตินิยมสุดโต่งและการกระทำทางการเมืองที่ไม่ไตร่ตรอง สิ่งนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการทูตและการตัดสินใจอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันการเผชิญหน้ารุนแรง ผู้นำกัมพูชาระบุ

พลเมืองกัมพูชาและไทยมีสิทธิที่จะรักประเทศของตนและปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของตน แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศทั้งสองของเราเป็นเพื่อนบ้านกัน ผูกพันกันด้วยภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์

ข้อพิพาทเรื่องพรมแดนที่ยังเหลืออยู่ ที่เป็นมรดกตกทอดจากอดีต ต้องได้รับการแก้ไขผ่านกรอบทางกฎหมายและทางเทคนิคโดยอิงตามกฎหมายระหว่างประเทศและกลไกทวิภาคีที่ตั้งขึ้น ซึ่งด้วยแนวทางดังกล่าวเท่านั้นที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงเช่นที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2551-2554

“ผมเกิดหลังสงครามทศวรรษ 1970 และยังอยู่ในวัยเด็กในช่วงสงครามกลางเมืองของกัมพูชาช่วงทศวรรษ 1980 ถึงต้นทศวรรษ 1990 แต่อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการปะทะที่ชายแดนระหว่างปี 2551-2554 ไม่ต่างจากความขัดแย้งในอดีตที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ที่แท้จริงแก่ทั้งสองฝ่าย” ผู้นำกัมพูชาระบุ

ผู้ที่ได้รับผลกระทบคือทหารในแนวหน้าและครอบครัวของพวกเขา รวมถึงพลเรือนที่ติดอยู่ในเหตุปะทะ ขณะเดียวกัน ผู้ที่ยุยงให้เกิดความรุนแรงคือนักการเมืองชาตินิยมสุดโต่ง ไม่เคยปรากฏตัวในสนามรบเลย เมื่อการสู้รบเกิดขึ้น พวกเขาก็ปลอดภัย ห่างจากพื้นที่ขัดแย้งหลายร้อยกิโลเมตร

“สิ่งนี้ควรเป็นบทเรียนสำหรับชาวกัมพูชาและชาวไทย เราต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้แน่ใจว่าประวัตศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย” นายกฯ ฮุน มาเนต กล่าวย้ำ.


กำลังโหลดความคิดเห็น