เอเอฟพี - เวียดนามตั้งเป้าที่จะตัดลดตำแหน่งงานในภาครัฐลง 1 ใน 5 และลดรายจ่ายหลายพันล้านดอลลาร์จากงบประมาณรัฐ ความเคลื่อนไหวที่เป็นภาพสะท้อนความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่จะตัดรายจ่ายของรัฐ
การดำเนินการดังกล่าวที่จะมีขึ้นในรัฐสภาตรายางในอีกไม่กี่วันข้างหน้า กำลังสร้างความไม่สบายใจในประเทศคอมมิวนิสต์ที่การทำงานให้กับรัฐหมายถึงงานที่มีความมั่นคงสูง
โต เลิม ผู้นำสูงสุดของเวียดนามที่เมื่อครึ่งปีก่อนได้ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ หลังจากอดีตผู้นำคนก่อนเสียชีวิต ได้กล่าวว่าหน่วยงานรัฐไม่ควรเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับเจ้าหน้าที่ที่อ่อนแอ
“ถ้าเราต้องการมีร่างกายแข็งแรง บางครั้งเราต้องกินยาขมและทนกับความเจ็บปวดเพื่อกำจัดเนื้อร้ายออกไป” โต เลิม กล่าวเมื่อเดือนธ.ค.
การปฏิรูปดังกล่าว ที่เจ้าหน้าที่อาวุโสระบุว่าเป็นการปฏิวัติ จะทำให้จำนวนกระทรวงและหน่วยงานของรัฐบาลลดลงจาก 30 แห่ง เหลือ 22 แห่ง สื่อ ข้าราชการ ตำรวจ และทหาร ก็จะเผชิญกับการปรับลดนี้ด้วย
นับจนถึงปี 2565 มีคนทำงานในภาครัฐเกือบ 2 ล้านคน และ 1 ใน 5 ของตำแหน่งงานเหล่านี้จะถูกเลิกจ้างในอีก 5 ปีข้างหน้า ตามข้อมูลของรัฐบาล แต่อย่างไรก็ตามมีบางคนได้รับการแจ้งแล้ว เช่น แถ่ง (นามแฝง) อาชีพโปรดิวเซอร์รายการทีวีนาน 12 ปี ได้เปิดเผยกับเอเอฟพีว่าเขาถูกเลิกจ้างเมื่อเดือนที่แล้ว
ช่องข่าวที่เขาทำงานอยู่นั้นถูกปิดลง โดยเป็น 1 ใน 5 สถานีโทรทัศน์ที่ถูกปิด และพ่อลูก 2 รายนี้ได้รับแจ้งล่วงหน้าเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น
“มันเจ็บปวดที่ต้องพูดถึงเรื่องนี้” ชายวัย 42 ปี ที่เปลี่ยนอาชีพมาขับรถแท็กซี่ กล่าว
จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 7.1% ในปี 2567 เวียดนามที่เป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลกที่พึ่งพาการส่งออกอย่างมาก ได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ 8% ในปีนี้
แต่ความวิตกกังวลกำลังเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านภาษีที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศภายใต้การบริหารของทรัมป์
ระบบราชการที่มากเกินไปยังถูกมองว่าเป็นตัวฉุดการเจริญเติบโต เช่นเดียวกับการดำเนินการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ทำให้การทำธุรกรรมในแต่ละวันล่าช้า
เวียดนามตั้งเป้าที่จะเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางภายในปี 2573 และก้าวกระโดดไปสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2588
“พวกเขาต้องการบรรลุเป้าหมายนั้น มันเป็นเรื่องของการแสดงให้เห็นถึงความชอบธรรมของพรรค และอำนาจของพรรค” เหวียน ฮง ฮาย นักวิชาการฟูลไบรท์ มหาวิทยาลัยอเมริกัน ในวอชิงตันดีซี กล่าว
เจ้าหน้าที่ระบุว่าการปรับลดที่เกิดขึ้นอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายได้รวมกว่า 4,500 ล้านดอลลาร์ ในอีก 5 ปีข้างหน้า แม้จะมีค่าใช้จ่ายมากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สำหรับเงินเกษียณและเงินชดเชยต่างๆ
แต่หวู กวีง เฮือง ข้าราชการ กล่าวว่าเธอคิดว่าเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถที่สุด ที่จะมีทางเลือกในการทำงานที่อื่นอาจเป็นคนที่ออก
“ฉันกำลังพิจารณาเรื่องการเกษียณอายุก่อนกำหนด ฉันสามารถทำงานเป็นที่ปรึกษาอิสระหรือทำงานในธุรกิจของครอบครัวได้” หญิงวัย 51 ปี กล่าว
การปรับระบบราชการเป็นนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์มานานเกือบทศวรรษ แต่โต เลิม กำลังผลักดันแผนนี้อย่างเข้มข้นและรวดเร็ว
โต เลิม ยังดำเนินการโครงการปราบปรามการทุจริตติดสินบนอย่างกระตือรือร้น ที่กวาดล้างผู้นำทางธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐไปหลายสิบคน รวมถึงประธานาธิบดี 2 คน และรองนายกรัฐมนตรี 3 คน ตั้งแต่ปี 2564
นักวิจารณ์กล่าวหาว่าเขามุ่งเป้าโจมตีฝ่ายตรงข้ามผ่านการกระทำดังกล่าว แต่การปราบปรามการทุจริตได้รับความนิยมจากประชาชน และนักวิเคราะห์กล่าวว่า โต เลิม อาจกำลังมองหาวิธีเสริมสร้างความชอบธรรมของเขาก่อนการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ในต้นปี 2569
แต่ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นคุกคามชื่อเสียงของรัฐบาลในเรื่องเสถียรภาพความมั่นคง และยังมีความวิตกว่าการปฏิรูประบบราชการอาจทำให้เกิดความโกลาหลในระยะสั้น
เวียดนามถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 83 จาก 180 ประเทศในดัชนีภาพลักษณ์การทุจริตคอร์รัปชั่นขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ
แถ่งกล่าวว่าการตัดสินใจว่าพนักงานคนใดจะได้ทำงานต่อหรือถูกปลดออกนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของพนักงาน
“เมื่อก่อนผมรู้สึกภูมิใจที่ได้บอกคนอื่นเรื่องงานของผม แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนเกียรติยศของผมได้สูญเสียไปแล้ว” แถ่ง กล่าว.