MGR ออนไลน์ - นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา กล่าวหา สม รังสี อดีตผู้นำฝ่ายค้านว่าเป็นนักฉวยโอกาสทางการเมือง โดยอ้างว่าเขามักเข้าข้างผู้ชนะในขณะที่แยกตัวออกห่างจากผู้ที่เผชิญความยากลำบาก
ผู้นำกัมพูชาแสดงความเห็นดังกล่าวโดยอ้างถึงวิดีโอที่สม รังสี ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแคมโบเดียเดลีเมื่อเดือน ก.ย. ปีก่อน ซึ่งในการสัมภาษณ์ดังกล่าว สม รังสี ได้วิจารณ์อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยระบุว่าเขาเป็นคนไม่ซื่อสัตย์และเป็นนักการเมืองที่ใช้คำพูดปลุกปั่นปลุกระดม
“ทรัมป์ไม่ค่อยพูดความจริง เขาโกหกและชอบพูดปลุกปั่น บางคนเชื่อเขาง่ายเกินไป ประชาชนควรเลือกผู้นำที่กระทำและพูดตามข้อเท็จจริง” สม รังสี กล่าว
ฮุน มาเนต กล่าวว่าเมื่อชมวิดีโอดังกล่าวแล้ว เขานึกถึงพฤติกรรมทางการเมืองในอดีตของสม รังสี ที่เขาระบุว่าเป็นพวกฉวยโอกาส โดยอธิบายว่าสม รังสี เข้าข้างอองซานซูจีเมื่อเธอชนะการเลือกตั้งในปี 2558 แต่ต่อมาก็ออกห่างจากนักการเมืองที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนผู้นี้
นายกรัฐมนตรีของกัมพูชายังระบุว่า การที่สม รังสี วิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์ก่อนการเลือกตั้งในสหรัฐฯ บ่งชี้ว่าเขาเชื่อว่าทรัมป์จะไม่ชนะตามผลโพลในตอนนั้น แต่ผลที่ออกมาตรงข้ามกับสิ่งที่เขาคาดการณ์ โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันเลือกทรัมป์เป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ
“ผมกำลังรอดูว่ารังสี นักการเมืองฉวยโอกาสผู้นี้ ที่มักโอ้อวดเกี่ยวกับการสนับสนุนของสหรัฐฯ จะแสวงหาความช่วยเหลือจากรัฐบาลทรัมป์ได้อย่างไร เขาจะเปลี่ยนจุดยืนอย่างไม่ละอาย และพูดถึงทรัมป์ในเชิงบวกเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนหรือไม่ หลักฐานของการวิพากษ์วิจารณ์ในอดีตของเขานั้นปรากฏอย่างชัดเจน” ฮุน มาเนต กล่าว
ด้านเลขาธิการของราชบัณฑิตยสภาแห่งกัมพูชาได้แสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันกับฮุน มาเนต โดยระบุว่า สม รังสี ไม่ได้มีส่วนร่วมกับความเป็นจริงทางการเมืองมานานแล้ว และแม้ว่าสม รังสี จะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในสหรัฐฯ มานานหลายปี แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจพลวัตทางการเมืองของประเทศ และโจมตีทรัมป์ในขณะเดียวกับที่ต้องการการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
“รังสีเป็นนักการเมืองล้าสมัยที่พูดตามอารมณ์มากกว่าการวิเคราะห์ทางการเมืองหรือกฎหมายที่เป็นรูปธรรม เขายุยงปลุกปั่นความเกลียดชังต่อรัฐบาลกัมพูชาด้วยคำกล่าวอ้างที่ไม่ถูกต้องว่าความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและสหรัฐฯ นั้นตึงเครียด ในขณะที่ความเป็นจริงแล้ว กัมพูชาและสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน” เลขาธิการราชบัณฑิตยสภาแห่งกัมพูชา กล่าว.