รอยเตอร์ - ข้อมูลของสหรัฐฯ ที่เผยแพร่วานนี้ (5) ระบุว่าเวียดนามเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา ที่อาจทำให้ความพยายามของฮานอยที่จะสกัดกั้นการกำหนดอัตราภาษีการค้าจากรัฐบาลชุดใหม่ของทรัมป์มีความซับซ้อนมากขึ้น
ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้เป็นรองเพียงจีน สหภาพยุโรป และเม็กซิโกเท่านั้นในแง่ของความไม่สมดุลทางการค้ากับวอชิงตัน แต่นักวิเคราะห์กล่าวว่า คำมั่นของฮานอยที่จะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้นนั้น รวมทั้งมาตรการชดเชยอื่นๆ อาจช่วยให้ฮานอยไม่โดนมาตรการลงโทษดังกล่าว
ภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทั้งหมดของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ในวันอังคาร ส่งผลให้ปักกิ่งตอบโต้ทันที ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังขู่สหภาพยุโรปด้วยอัตราภาษีใหม่ ขณะที่เม็กซิโกและแคนาดาได้ระงับการเรียกเก็บอัตราภาษีใหม่ 25% เป็นเวลา 30 วัน เมื่อวันอังคาร หลังจากสองประเทศสัญญาว่าจะเพิ่มมาตรการปกป้องชายแดน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับเวียดนามนับตั้งแต่ได้รับเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง แต่เขายังคงหมกมุ่นกับการขาดดุลการค้า ซึ่งทำให้เวียดนามเป็นเป้าหมายของอัตราภาษีศุลกากร เดโบราห์ เอล์มส หัวหน้าฝ่ายนโยบายการค้าของมูลนิธิ Hinrich Foundation กล่าว
การเกินดุลการค้าของเวียดนามกับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกือบ 20% ในปี 2567 สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 123,000 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ
ในช่วงเวลาเดียวกัน ช่องว่างกับจีนขยายตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 6% เป็น 295,400 ล้านดอลลาร์ ที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดในปี 2561 อยู่มาก ขณะที่สหภาพยุโรปเกินดุลเพิ่มขึ้นเกือบ 13% ที่ 235,500 ล้านดอลลาร์ และการขาดดุลกับเม็กซิโกเพิ่มขึ้น 12.5% ที่เกือบ 172,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสถิติที่สูงสุดตลอดกาลเช่นกัน
เวียดนามและเม็กซิโกต่างก็ได้รับประโยชน์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนครั้งล่าสุด เนื่องจากผู้ผลิตในจีนย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่เรียกเก็บจากปักกิ่งตั้งแต่ปี 2561 ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก
ซายากะ ชิบะ นักวิเคราะห์อาวุโสจากบริษัทวิจัย BMI กล่าวว่า แม้ว่าช่องว่างทางการค้าจะขยายตัวขึ้น แต่เวียดนามอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้ส่งออกรายอื่น และเวียดนามไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ชิบะกล่าวเสริมว่าเวียดนามอาจยังเผชิญกับภาษีที่เกี่ยวข้องกับการค้า แต่มาตรการดังกล่าวต้องได้รับการสนับสนุนจากการสอบสวน ที่จะทำให้เวียดนามมีเวลาในการหาทางเลี่ยงภาษีเหล่านี้ แต่ภาษีรายสาขายังคงมีความเสี่ยงสูงต่อเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจากเวียดนามเป็นผู้ส่งออกเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ไปยังสหรัฐฯ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เวียดนามได้กล่าวซ้ำหลายครั้งว่าพวกเขาจะพยายามหาทางประนีประนอมกับวอชิงตันเกี่ยวกับการค้า โดยเมื่อวันพุธ นายกรัฐมนตรีฝ่าม มีง จีง ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบจากสงครามการค้าโลกที่อาจเกิดขึ้น แต่ไม่ได้กล่าวถึงแนวโน้มของภาษีต่อเวียดนาม ตามข้อมูลที่โพสต์อยู่บนเว็บไซต์ของรัฐบาล
ชิบะกล่าวว่า หนึ่งในทางแก้ไขที่เป็นไปได้คือการเพิ่มการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวจากสหรัฐฯ และการลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ เช่น ถั่วเหลือง ฝ้าย เนื้อสัตว์ และว่าการส่งออกนั้นปรับลดได้ยากเนื่องจากส่วนใหญ่มาจากบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่ดำเนินการในเวียดนาม เช่น ซัมซุง และอินเทล.