เอพี - ความหวังที่จะมีสันติภาพในพม่านั้นดูเลือนรางด้วยสงครามกลางเมืองนั้นยังคงดำเนินอยู่ แม้ว่ากองทัพพม่าจะถูกกดดันจากนานาประเทศ 4 ปี หลังยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง
สถานการณ์ทางการเมืองยังคงตึงเครียด ที่ไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างรัฐบาลทหารและกลุ่มต่อต้าน
โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติระบุว่า 4 ปี หลังกองทัพเข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2564 ได้ก่อให้เกิดสถานการณ์วิกฤตหลายด้าน ที่ประชากรเกือบครึ่งหนึ่งอยู่ในภาวะยากจน และเศรษฐกิจอยู่ในภาวะระส่ำระสาย
ขณะที่สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติกล่าวว่า กองทัพเพิ่มความรุนแรงต่อพลเรือนเมื่อปีก่อนในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้พลเรือนเสียชีวิตมากที่สุดนับตั้งแต่กองทัพเข้ายึดอำนาจ ขณะที่การควบคุมของกองทัพถดถอยลง
กองทัพเปิดฉากโจมตีทางอากาศและยิงปืนใหญ่ตอบโต้พลเรือนและพื้นที่ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่หลายครั้ง บังคับให้เยาวชนหลายพันคนเข้ารับราชการทหาร ดำเนินการจับกุมและดำเนินคดีตามอำเภอใจ ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องอพยพพลัดถิ่น และปฏิเสธการเข้าถึงของเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรม แม้ในขณะที่เผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติ สำนักงานสิทธิระบุในคำแถลงวานนี้ (31)
“หลังจากผ่านไป 4 ปี เป็นเรื่องน่าวิตกอย่างยิ่งที่พบว่าสถานการณ์ในพื้นที่สำหรับพลเรือนนั้นเลวร้ายลงทุกวัน” โวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าว
“แม้ว่าอำนาจของกองทัพจะลดลง แต่ความโหดร้ายและความรุนแรงของพวกเขายังคงขยายขอบเขตและเข้มข้นขึ้น” โวลเกอร์ เติร์ก กล่าว และเสริมว่าธรรมชาติของการโจมตีเพื่อตอบโต้นั้นถูกออกแบบมาเพื่อควบคุม ข่มขู่ และลงโทษประชาชน
สหรัฐฯ อังกฤษ สหภาพยุโรป และประเทศอื่นๆ วิพากษ์วิจารณ์การเข้ายึดอำนาจของกองทัพในคำแถลงที่ยังเรียกร้องการปล่อยตัวอองซานซูจี ผู้นำที่ถูกโค่นล้ม และนักโทษการเมืองคนอื่นๆ ด้วย
พวกเขากล่าวว่ามีผู้คนเกือบ 20 ล้านคน ต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและมากถึง 3.5 ล้านคน กลายเป็นผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ล้านคนในปีก่อน พวกเขายังแสดงความกังวลเกี่ยวกับอาชญากรรมข้ามพรมแดนที่เพิ่มขึ้นในพม่า เช่น การค้ายาเสพติดและการค้ามนุษย์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านและเสี่ยงต่อความไม่มั่นคงในวงกว้าง
“วิถีทางในปัจจุบันนั้นไม่ยั่งยืนสำหรับพม่าหรือภูมิภาค” คำแถลงร่วมของประเทศต่างๆ ระบุ ที่ยังรวมถึงออสเตรเลีย แคนาดา เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ และสวิตเซอร์แลนด์
การยึดอำนาจของกองทัพในปี 2564 กระตุ้นให้เกิดการประท้วงของประชาชนอย่างกว้างขวาง ที่การปราบปรามอย่างรุนแรงโดยกองกำลังความมั่นคงได้จุดชนวนให้เกิดการต่อต้านด้วยอาวุธที่นำไปสู่ภาวะสงครามกลางเมืองในปัจจุบัน กองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์และกองกำลังพิทักษ์ประชาชน ที่สนับสนุนการต่อต่อต้านหลักควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ในขณะที่กองทัพครองพื้นที่ตอนกลางของพม่าและเมืองใหญ่ต่างๆ เช่น กรุงเนปีดอ เมืองหลวง
สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง ที่รวบรวมยอดผู้ถูกจับกุมตัวและผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามของรัฐบาลทหาร ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6,239 คน และถูกจับกุมตัว 28,444 คน นับตั้งแต่การยึดอำนาจ แต่จำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริงน่าจะสูงกว่านี้มาก เนื่องจากกลุ่มไม่สามารถรวมยอดผู้เสียชีวิตในฝ่ายรัฐบาลทหารได้ และไม่สามารถยืนยันกรณีที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้
อ่อง ธู นาย ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของสถาบันนโยบายและยุทธศาสตร์พม่า กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันของพม่าอยู่ในภาวะเลวร้าย ที่สันติภาพและการพัฒนาถูกผลักให้ถอยหลัง
“สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคืออธิปไตยที่กองทัพป่าวประกาศไว้กำลังสูญเสียไป และชายแดนของประเทศอาจเปลี่ยนแปลงไป” อ่อง ธู นาย กล่าว
กองทัพพม่าเผชิญกับความพ่ายแพ้ในสนามรบอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงปีที่ผ่านมา เมื่อแนวร่วมของกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ได้รับชัยชนะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือใกล้ชายแดนจีน และในรัฐยะไข่ ทางตะวันตก
กลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์สามารถเข้ายึดเมืองต่างๆ ฐานทัพ และกองบัญชาการระดับภูมิภาคที่สำคัญ 2 แห่ง ได้อย่างรวดเร็ว และการโจมตีของพวกเขาทำให้กองทัพอ่อนแอลงในส่วนอื่นๆ ของประเทศ
ชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเองจากรัฐบาลกลางของพม่ามานานหลายทศวรรษ และเป็นพันธมิตรอย่างหลวมๆ กับกองกำลังพิทักษ์ประชาชน ที่เป็นกองกำลังต่อต้านติดอาวุธเรียกร้องประชาธิปไตยที่ก่อตั้งขึ้นหลังจากกองทัพเข้ายึดอำนาจในปี 2564
สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติและกลุ่มสิทธิมนุษยชน รวมถึงองค์การนิรโทษกรรมสากล ยังกล่าวหาในคำแถลงล่าสุดว่ากลุ่มติดอาวุธที่ต่อต้านกองทัพละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาด้วย
ในการแสวงหาทางออกทางการเมือง รัฐบาลทหารกำลังผลักดันให้มีการเลือกตั้ง ตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจัดขึ้นในปีนี้ แต่นักวิจารณ์กล่าวว่าการเลือกตั้งจะไม่เสรีและไม่ยุติธรรม เนื่องจากสิทธิพลเมืองถูกจำกัด และฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองหลายคนถูกจำคุก และการเลือกตั้งจะเป็นความพยายามในการทำให้การควบคุมของกองทัพเป็นเรื่องปกติ
เมื่อวันศุกร์ รัฐบาลทหารได้ขยายเวลาการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก 6 เดือน โดยรัฐบาลทหารระบุว่าจำเป็นต้องใช้เวลาอีกมากเพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพความมั่นคงก่อนการเลือกตั้ง
ทอม แอนดรูว์ส ผู้รายงานพิเศษที่ทำงานกับสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการเลือกตั้งที่ถูกต้องตามกฎหมายในขณะที่ยังจับกุม คุมขัง ทรมาน และประหารผู้นำฝ่ายตรงข้าม และเมื่อนักข่าวหรือพลเมืองวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย.