เอเอฟพี - คณะผู้สอบสวนของสหประชาชาติกล่าวว่า อาชญากรรมระหว่างประเทศร้ายแรงเกิดขึ้นในช่วง 4 ปี นับตั้งแต่การรัฐประหารของกองทัพพม่า และเตือนว่าเหตุการณ์มีแต่จะเลวร้ายลงเท่านั้น เว้นแต่ผู้กระทำความผิดถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
นิโคลัส คุมเจียน ประธานกลไกสอบสวนอิสระสำหรับพม่า (IIMM) ของสหประชาชาติ กล่าวว่า การละเว้นโทษทำให้ผู้ก่ออาชญากรรมกล้าที่จะก่อความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
รัฐบาลทหารที่ปกครองพม่าได้ยึดอำนาจในการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2564 ที่โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของอองซานซูจี ยุติการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่ดำเนินมา 10 ปี และทำให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ตกเข้าสู่ความวุ่นวายนองเลือดและวิกฤตด้านมนุษยธรรม
“นับแต่นั้นมา ตามหลักฐานที่ IIMM ได้รวบรวมและวิเคราะห์ อาชญากรรมระหว่างประเทศร้ายแรงได้เกิดขึ้นทั่วประเทศ” คุมเจียน ระบุในคำแถลง
การสู้รบระหว่างกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์จำนวนมากและกองทัพเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วพม่า สงครามกลางเมืองทำให้ผู้คนมากกว่า 3.5 ล้านชีวิตต้องพลัดถิ่น ตามการระบุของสหประชาชาติ
“การประท้วงต่อต้านการปกครองของทหารถูกปราบปรามด้วยความรุนแรงที่มักถึงแก่ชีวิต ผู้ที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามหลายพันคนถูกจำคุกอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย หลายคนถูกทรมาน ล่วงละเมิดทางเพศ และการละเมิดในรูปแบบต่างๆ” คุมเจียน กล่าว
“การโจมตีทางอากาศ การโจมตีด้วยปืนใหญ่และโดรน เกิดขึ้นบ่อยครั้งและอย่างไม่เลือก ทำให้พลเรือนเสียชีวิต ผู้รอดชีวิตถูกบังคับให้ต้องออกจากบ้าน และยังทำลายโรงพยาบาล โรงเรียน และสถานที่ทางศาสนา” คุมเจียน ระบุ
เขากล่าวว่าแม้ว่าหลักฐานส่วนใหญ่ที่รวบรวมได้จนถึงตอนนี้เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมที่กระทำโดยกองทัพ แต่ผู้สอบสวนยังคงสืบสวนรายงานที่น่ากังวลเกี่ยวกับการกระทำทารุณโหดร้ายที่ก่อขึ้นโดยกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ รวมถึงการข่มขืน การฆ่า และการทรมาน
IIMM ก่อตั้งขึ้นโดยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในปี 2561 เพื่อรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับอาชญากรรมระหว่างประเทศที่ร้ายแรงที่สุดและเตรียมเอกสารสำหรับการดำเนินคดีอาญา
ในเดือน พ.ย. อัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศได้ขอหมายจับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหาร ในข้อกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมต่อชนกลุ่มน้อยโรฮิงญาระหว่างปฏิบัติการกวาดล้างในปี 2559-2560
ทั้งนี้ ยังไม่มีการดำเนินคดีทางกฎหมายใดๆ สำหรับอาชญากรรมระหว่างประเทศร้ายแรงที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่กองทัพเข้ายึดอำนาจ คุมเจียนระบุ
“เราเชื่อว่าการไม่ต้องรับโทษสำหรับอาชญากรรมจะทำให้ผู้กระทำผิดกล้าที่จะก่ออาชญากรรมมากขึ้น และการยุติการไม่ต้องรับโทษนี้เป็นสิ่งจำเป็น กลไกนี้พร้อมที่จะช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ตั้งใจและสามารถสืบสวนและดำเนินคดีกรณีเหล่านี้ได้ ความรุนแรงจะยังคงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าผู้กระทำผิดจะถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม” คุมเจียน กล่าว
สหประชาชาติประมาณการว่าประชากร 19.9 ล้านคน หรือมากกว่า 1 ใน 3 ของประชากรพม่า จะต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในปี 2568.