MGR ออนไลน์ - กัมพูชาพร้อมที่จะกลายเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์หลักจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ กลับเข้าทำเนียบขาว มาร์ก ทาวน์เซนด์ ประธาน CBRE Cambodia ระบุ
ทาวน์เซนด์ระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญได้คาดการณ์ว่ากัมพูชาจะมีโอกาสในการผลิตอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากเวียดนาม ที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านอาจเผชิญกับอัตราภาษีศุลกากรเช่นเดียวกับที่เคยกำหนดใช้กับจีนก่อนหน้านี้
ปัจจุบัน เวียดนามกำลังเผชิญกับความไม่สมดุลทางการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมาก และอาจทำให้เวียดนามกลายเป็นเหยื่อของกลยุทธ์ด้านภาษีศุลกากรที่เข้มงวดเช่นเดียวกับที่เคยบังคับใช้กับจีน ทาวน์เซนด์ ระบุ
กัมพูชาที่มีกฎหมายใหม่เกี่ยวกับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและภาษี ควบคู่ไปกับการปฏิรูปสำคัญอื่นๆ ได้ดำเนินนโยบายเพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทต่างๆ จะดำเนินการในระยะยาว
ทอม โกห์ นักวิเคราะห์เศรษฐกิจ กล่าวกับสำนักข่าวขแมร์ไทม์สว่า การที่ทรัมป์กลับเข้าทำเนียบขาวถือเป็นข่าวดีสำหรับกัมพูชา
“มันจะสร้างโอกาสมากมาย แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าทรัมป์จะเดินหน้าสงครามภาษีตามที่เขาประกาศในการหาเสียงเลือกตั้งหรือไม่” ทอม โกห์ กล่าว
“ประเทศที่เป็นเหยื่อจะตอบโต้และเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับสินค้าของสหรัฐฯ ครั้งก่อน เมื่อทรัมป์เริ่มสงครามภาษี ผู้บริโภคในสหรัฐฯ เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ผมคิดว่าครั้งนี้เขาจะระมัดระวังมากขึ้น” นักวิเคราะห์ กล่าว
ทอม โกห์ ยังกล่าวว่ากัมพูชาจำเป็นต้องเสริมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ได้ประโยชน์จากคำสั่งของทรัมป์ ที่จะทำให้โรงงานอย่างน้อย 2-3 แห่ง ย้ายจากเวียดนามมายังกัมพูชา เวียดนามมีข้อได้เปรียบจำนวนมากในแง่ของโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรบุคคล ที่นำไปสู่การลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์จากสหรัฐฯ และประเทศต่างๆ
ลีนา ลี จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติเวียดนาม ระบุว่า ทรัมป์อาจใช้นโยบายอเมริกาต้องมาก่อน ที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และมักจะบ่อนทำลายข้อตกลงพหุภาคี
“แม้ว่าชาวเวียดนามจำนวนมากมองว่าทรัมป์เป็นผู้นำที่สามารถเสริมสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคได้ แต่การที่เขามุ่งเน้นลดความไม่สมดุลทางการค้าอาจนำไปสู่การขึ้นภาษีและขัดขวางการส่งออกของเวียดนามไปยังสหรัฐฯ” ลีนา ลี กล่าว
“แนวทางนโยบายต่างประเทศแบบธุรกรรมของทรัมป์อาจท้าทายความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ของเวียดนามกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน”
ข้อมูลทางการค้าของสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อเดือนที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าการขาดดุลการค้ากับเวียดนามอยู่ที่ 102,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 เพิ่มขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566
ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่าเขาวางแผนที่จะเรียกเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.2568 เขาเสริมเขาอาจเรียกเก็บภาษีกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เนื่องจากเขาได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่สั่งให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางดำเนินการทบทวนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อย่างละเอียดภายในฤดูใบไม้ผลินี้.