รอยเตอร์ - เวียดนามต้องการขยายความร่วมมือด้านกลาโหมระหว่างประเทศเพื่อสร้างความไว้วางใจและป้องกันสงคราม นายกรัฐมนตรีของเวียดนามเผยวันนี้ (19) และสหรัฐฯ กล่าวว่ามีความหวังว่าอุตสาหกรรมด้านการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ จะมีบทบาทสำคัญ
นายกรัฐมนตรีฝ่าม มีง จีง ของเวียดนาม กล่าวเปิดงานแสดงอาวุธนานาชาติครั้งที่ 2 ของประเทศว่า งานนี้เป็นสารแห่งสันติภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา
งานแสดงอาวุธที่จะดำเนินไปจนถึงวันอาทิตย์ จัดขึ้นที่สนามบินซาลามในกรุงฮานอย โดยมีผู้ร่วมจัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทางหหารเกือบ 250 รายจากหลายสิบประเทศ รวมทั้งสหรัฐฯ จีน รัสเซีย อังกฤษ อิหร่าน และอิสราเอล
ผู้นำเวียดนามกล่าวว่า ประเทศจะคงนโนบาย ‘4 ไม่’ คือ ไม่เข้าร่วมพันธมิตรทางทหาร ไม่ร่วมมือกับประเทศใดประเทศหนึ่งเพื่อต่อต้านอีกประเทศหนึ่ง ไม่อนุญาตให้มีฐานทัพต่างชาติหรือใช้ดินแดนของตนโจมตีประเทศอื่น และไม่ใช้กำลังหรือคุกคามประเทศอื่นในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ด้านเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำเวียดนาม มาร์ค แนปเปอร์ ได้กล่าวนอกรอบว่า บริษัทด้านการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ สามารถร่วมมือกับคู่ค้าเวียดนามได้ในหลากหลายด้าน รวมทั้งการผลิตร่วมและการถ่ายโอนเทคโนโลยี
“เราต้องการที่จะให้บริษัทด้านการป้องกันประเทศที่ยอดเยี่ยมของเราทำงานร่วมกับเวียดนามในเรื่องที่เป็นไปได้ เช่น การผลิตร่วมและการถ่ายโอนเทคโนโลยี” เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ กล่าวแถลงข่าว ร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการป้องกันประเทศและเจ้าหน้าที่ทหารของสหรัฐฯ
“เป้าหมายของเราคือการทำให้แน่ใจว่าเวียดนามมีสิ่งจำเป็นในการปกป้องผลประโยชน์ของตนในทะล ในอากาศ บนพื้นดิน และในไซเบอร์สเปซ” มาร์ค แนปเปอร์ ระบุ
เวียดนามเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรัสเซีย และได้ลงทุนมาเป็นเวลาหลายปีเพื่อขยายขีดความสามารถในการป้องกันประเทศในภูมิภาคที่ไม่มั่นคงแห่งนี้ ที่เวียดนามปะทะกับจีนเรื่องพรมแดนในทะเลจีนใต้
การบรรยายสรุปของสหรัฐฯ จัดขึ้นถัดจากเครื่องบิน C-130 ของล็อกฮีด มาร์ติน ที่นำมาจัดแสดงในงาน นอกจากนี้ ยังมีบริษัทโบอิ้งและเท็กซ์ตรอนเข้าร่วมงานที่กรุงฮานอยด้วย
แหล่งข่าวเผยกับรอยเตอร์ว่า ล็อกฮีด มาร์ติน กำลังเจรจาหารือกับเวียดนามเกี่ยวกับข้อตกลงที่อาจเป็นไปได้สำหรับเครื่องบินขนส่งทางทหารดังกล่าว
ในการบรรยายสรุป รองผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ด้านกิจการความมั่นคงอินโด-แปซิฟิก ยังกล่าวว่านโยบายของสหรัฐฯ สำหรับภูมิภาคนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อรัฐบาลชุดใหม่เข้ารับตำแหน่งในวอชิงตันปีหน้า.