เอเอฟพี - เมื่อเรือรบสหรัฐฯ เข้าเทียบท่าที่กัมพูชาในสัปดาห์นี้ เรือลำดังกล่าวจอดอยู่ห่างจากฐานทัพที่จีนสร้างท่าเทียบเรือใหม่เพียงไม่กี่กิโลเมตร และที่ฐานทัพเรือดังกล่าวมีเรือของปักกิ่ง 2 ลำ จอดเทียบท่ามาได้ประมาณ 1 ปี
สหรัฐฯ กล่าวว่าฐานทัพเรือเรียมอาจทำให้จีนมีตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ในอ่าวไทยใกล้กับทะเลจีนใต้ที่เป็นข้อพิพาท ซึ่งปักกิ่งอ้างสิทธิในน่านน้ำดังกล่าวเกือบทั้งหมด
เวลานี้วอชิงตันกำลังมองหาวิธีเสริมสร้างความสัมพันธ์กับกัมพูชา หลังจากที่พนมเปญยกเลิกการฝึกซ้อมทางทหารร่วมในปี 2560
กัมพูชาเป็นพันธมิตรที่มั่นคงที่สุดแห่งหนึ่งของจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และปักกิ่งได้ขยายอิทธิพลเหนือพนมเปญในช่วงไม่กี่ปีมานี้
อิทธิพลของจีนปรากฏชัดที่สุดที่ฐานทัพเรือเรียม โดยท่าเทียบเรือแห่งใหม่ทอดยาวเข้าไปในอ่าวไทย 363 เมตร
เรือคอร์เวตต่อต้านเรือดำน้ำ Type-056A ของจีน 2 ลำ ประกอบด้วย เรือ Aba 630 และเรือเทียนเหมิน 631 ประจำการอยู่ที่ท่าเรือเป็นเวลาประมาณ 12 เดือน แม้ว่าผู้นำกัมพูชายืนกรานว่าฐานทัพแห่งนี้ไม่เปิดให้มหาอำนาจต่างชาติใช้งานก็ตาม
ท่าเทียบเรือและเรือทั้ง 2 ลำเป็นสัญลักษณ์ของผลประโยชน์ของปักกิ่งในกัมพูชา ที่นักวิเคราะห์กล่าวว่า วอชิงตันกำลังพยายามโต้กลับด้วยการส่งเรือยูเอสเอส ซาวันนาห์ เข้าเทียบท่า
ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกได้เสริมความแข็งแกร่งในการเข้าถึงทางทหารเป็นอย่างมาก
อ่าวไทยตั้งอยู่ระหว่างทะเลจีนใต้ที่ปักกิ่งสร้างเกาะเทียมพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหาร และมหาสมุทรอินเดียที่จีนบรรลุข้อตกลงโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการที่เป็นส่วนหนึ่งของความริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง
บริษัทจีนได้เช่าท่าเรือฮัมบันโตตาของศรีลังกาเป็นเวลา 99 ปี และปักกิ่งมีข้อตกลงอื่นๆ กับประเทศต่างๆ รวมทั้งปากีสถาน มัลดีฟส์ บังกลาเทศ และจิบูตี ที่จีนมีฐานทัพ
แม้ว่าฐานทัพเรือเรียมจะไม่ได้กลายเป็นฐานทัพอย่างเป็นทางการของจีน แต่เรือรบของปักกิ่งก็สามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกของกัมพูชาได้อย่างเป็นพิเศษเพื่อการฝึกซ้อมและเติมเสบียง ทิโมธี ฮีธ นักวิจัยอาวุโสจากองค์กรวิจัย Rand Corporation ในสหรัฐฯ ระบุ
เขาตั้งข้อสังเกตว่า ฐานทัพเรือเรียมอยู่ไม่ไกลจากเส้นทางการค้าและการขนส่งน้ำมันของช่องแคบมะละกา ซึ่งจีนอาจพบคุณค่าในการจัดตั้งฐานรวบรวมข่าวกรองที่ฐานทัพดังกล่าว
ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เดินทางเยือนกัมพูชาในเดือน มิ.ย. และเรือยูเอสเอส ซาวันนาห์ เข้าเทียบท่าที่เมืองท่าสีหนุวิลล์ในวันจันทร์ ห่างจากฐานทัพเรือเรียมและเรือคอร์เวตขนาด 1,500 ตันของจีน ประมาณ 30 กิโลเมตร
อาลี ไวน์ นักวิจัยและที่ปรึกษาจาก International Crisis Group กล่าวว่า การเยือนของสหรัฐฯ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของวอชิงตันที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ด้านการป้องกันกับพนมเปญ
นักวิเคราะห์กล่าวว่า กัมพูชากำลังพิจารณาที่จะลดการพึ่งพาจีนและพัฒนาความสัมพันธ์อื่นๆ
หลังการมาถึงของเรือยูเอสเอส ซาวันนาห์ พลเรือเอกซามูเอล ปาปาโร ผู้บัญชาการกองบัญชาการสหรัฐฯ ประจำภาคอินโด-แปซิฟิก ได้เดินทางเยือนกัมพูชาในวันพุธ ที่นับเป็นนายทหารสหรัฐฯ อาวุโสที่สุดที่เดินทางเยือนในรอบ 5 ปี และได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ในกรุงพนมเปญ
สหรัฐฯ ใช้วิธี ‘รอดูไปก่อน’ กับฐานทัพเรือเรียม เขากล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ท่าเรือสีหนุวิลล์ และเสริมว่าวอชิงตันเคารพความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับกัมพูชา
“สำหรับการเยือนของเราและกิจกรรมของเรากับกัมพูชา ไม่ใช่การตอบโต้ใคร” พลเรือเอกซามูเอล ปาปาโร ระบุ
อู วิรัก นักวิเคราะห์การเมืองกล่าวว่า การเข้าเทียบท่าของเรือรบสหรัฐฯ อาจเป็นความเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดของพนมเปญ เนื่องจากกัมพูชาต้องการเปลี่ยนทัศนคติของโลกจากการมองกัมพูชาเป็นเพียงหุ่นเชิดเล็กๆ ของจีน
จีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของกัมพูชาและได้ทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายใต้การนำของฮุนเซน อดีตผู้นำกัมพูชา
ฮุน มาเนต ลูกชายของฮุนเซน ที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการทหารสหรัฐอเมริกา เวสต์พอยต์ ได้เป็นผู้นำกัมพูชาตั้งแต่ปี 2566 แต่ฮุนเซนยังคงมีบทบาทสำคัญในรัฐบาลหลังครองอำนาจมาเกือบ 4 ทศวรรษ
โครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากจีน ยังรวมถึงทางด่วนระหว่างกรุงพนมเปญและสีหนุวิลล์ มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ และสนามบินนานาชาติเสียมราฐ-อังกอร์ มูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ ที่เปิดใช้งานเมื่อปีก่อน ซึ่งโครงการเหล่านี้ช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตามการระบุของพนมเปญ
แต่อย่างไรก็ตาม โครงการโครงสร้างพื้นฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่าครึ่งหนึ่งที่จีนให้ทุนสนับสนุนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาถูกยกเลิก ลดขนาด หรือไม่น่าจะดำเนินการต่อ ตามการศึกษาของสถาบัน Lowy Institute ในออสเตรเลีย
นอกจากนี้ อาลี ไวน์ ยังระบุว่าประเทศอื่นในภูมิภาคและที่อื่นๆ กำลังมองหาวิธีที่จะทำให้นโยบายต่างประเทศของตนมีความหลากหลายเช่นกัน
“ทั้งสหรัฐฯ และจีนควรตระหนักว่ามีหลายประเทศมากขึ้นที่กำลังดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบพหุภาคี ที่พัฒนาความสัมพันธ์กับพันมิตรอื่นๆ นอกเหนือไปจากสองมหาอำนาจของโลก” ไวน์ ระบุ.