MGR ออนไลน์ - การปิดพรมแดนระหว่างพม่าและจีนทำให้ชาวกะฉิ่นและชานไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและทำให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น แหล่งข่าวจากภูมิภาคดังกล่าวระบุ
สงครามกลางเมืองของพม่าหลังการรัฐประหารของกองทัพในวันที่ 1 ก.พ.2564 ทำให้จีนปิดด่านชายแดนทั้งหมดในรัฐกะฉิ่นตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค. และจุดผ่านแดนทั้งหมดในรัฐชานเหนือ ยกเว้นเมืองมูเซะ ตั้งแต่เดือน ก.ค.
ขณะเดียวกัน รัฐบาลทหารพม่ายังกำหนดข้อจำกัดการขนส่งสินค้าจากใจกลางประเทศไปยังรัฐกะฉิ่น เนื่องจากเวลานี้กองทัพเอกราชกะฉิ่น (KIA) ควบคุมด่านชายแดนทั้ง 11 แห่งของรัฐกับจีน รวมถึงจุดตรวจการค้าหลัก
ในรัฐชาน รัฐบาลทหารยังกำหนดข้อจำกัดการขนส่งสินค้าจากเมืองมูเซะไปยังพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์
ข้อจำกัดดังกล่าวทำให้ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ทั้งสอง โดยเฉพาะพลเรือนที่พลัดถิ่นจากการสู้รบอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนัก แหล่งข่าวระบุ
พลเรือนที่หลบภัยอยู่ในค่ายพักพิงสำหรับผู้พลัดถิ่นใกล้เมืองลายซา ของรัฐกะฉิ่น ที่กองบัญชาการของ KIA ตั้งอยู่ ระบุว่าการปิดพรมแดนและการจำกัดการขนส่งสินค้าจากเมืองพะโมและเมืองมิตจีนา ที่เป็นเมืองเอกของรัฐ ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงมาก
“ชาวบ้านต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างหนัก เรากำลังเผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอนและมืดมน” ผู้พลัดถิ่นระบุ
พลเรือนพลัดถิ่นรายนี้กล่าวว่า ราคาอาหารในรัฐกะฉิ่นพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ผู้อยู่อาศัยในค่ายไม่สามารถซื้อสิ่งของจำเป็นพื้นฐานได้
เขากล่าวว่าราคาสินค้าเกือบทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตั้งแต่ปิดพรมแดน โดยไข่ไก่จากเดิมราคา 400 จ๊าต เป็น 1,000 จ๊าต เนื้อหมู จาก 20,000 จ๊าต เป็น 50,000 จ๊าต ปลา 15,000 จ๊าต เป็น 30,000 จ๊าต ไก่ 20,000 จ๊าต เป็น 40,000 จ๊าต เนื้อวัวจาก 30,000 จ๊าต เป็น 60,000 จ๊าต ส่วนมันฝรั่ง 6,000 จ๊าต เป็น 10,000 จ๊าต เป็นต้น
ขณะที่น้ำมันปรุงอาหาร 1 ลิตร ราคา 25,000 จ๊าต เพิ่มขึ้นจาก 10,000 จ๊าต และน้ำมันเบนซิน 1 ลิตร ราคา 15,000 จ๊าต เพิ่มขึ้นจาก 7,000 จ๊าต
ก่อนที่จะมีการปิดพรมแดน กลุ่มบรรเทาทุกข์ได้จัดหาข้าว น้ำมัน เกลือ และถั่วลูกไก่ให้ผู้พลัดถิ่น แต่เวลานี้พวกเขาสามารถแจกจ่ายได้เพียงประมาณ 30,000 จ๊าตต่อคน ผู้อยู่อาศัยในค่ายพักพิงกล่าว
ชาวบ้านกล่าวว่านับตั้งแต่ KIA ยึดด่านกันปาติ เมื่อวันที่ 20 พ.ย. และทางการจีนปิดจุดผ่านแดน ราคาอาหารในเมืองมิตจีนาก็เพิ่มสูงขึ้น และขณะนี้ยังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในค่ายสำหรับผู้พลัดถิ่น ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ KIA ควบคุมตามแนวชายแดน กล่าวกับสำนักข่าวว่าการปิดจุดผ่านแดนทำให้ชีวิตยากลำบากขึ้นมาก
“ไม่มีงานทำเพื่อหารายได้ในพื้นที่ใกล้กับค่ายของเรา ทำให้เราต้องออกไปหางานทำไกลออกไปจากค่าย แต่พอด่านชายแดนปิดหมด เราเลยไม่มีรายได้” ชาวบ้านกล่าว
ในรัฐกะฉิ่น พลเรือนมากกว่า 100,000 คน ต้องอาศัยอยู่ตามค่ายพักพิง 160 แห่ง หลังจากการสู้รบเริ่มขึ้นในปี 2564 นับตั้งแต่การรัฐประหาร จำนวนผู้พลัดถิ่นเพิ่มสูงขึ้นเป็นมากกว่า 200,000 คน ตามการระบุของเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ และผู้พลัดถิ่นประมาณ 40,000 คน กำลังหลบภัยอยู่ในค่ายประมาณ 20 แห่งตามแนวชายแดนจีนในรัฐกะฉิ่น
รองหัวหน้าค่ายวายจายสำหรับผู้พลัดถิ่นใกล้เมืองลายซา กล่าวว่ายิ่งด่านชายแดนปิดนานเท่าไหร่ ประชาชนจะยิ่งเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้นเท่านั้น
“หากด่านยังปิดต่อไป การเข้าถึงอาหารจะเป็นเรื่องยากมาก การปิดด่านและการจำกัดการขนส่งสินค้าทำให้ประชาชนประสบกับความยากลำบากมากขึ้น” รองหัวหน้าค่ายพักพิงกล่าว
รัฐบาลทหารยังสั่งห้ามการขนส่งอาหารจากเมืองมูเซะ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพไปยังเมืองที่กลุ่มติดอาวุธยึดครองตามแนวชายแดนพม่า-จีน ในรัฐชานตอนเหนือ
ชาวเมืองน้ำคำ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง (TNLA) กล่าวว่าไม่มีสินค้าผ่านเมืองมูเซะมาตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย.
“ชาวบ้านไม่ได้รับอนุญาตให้ขนอาหารด้วยรถจักรยานยนต์และแม้แต่พ่อค้าแม่ค้าจากเมืองมูเซะก็ไม่มาที่นี่อีกต่อไปแล้ว ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว” ชาวเมืองน้ำคำ กล่าว
ชาวบ้านกล่าวว่า TNLA ปิดกั้นการขนส่งเชื้อเพลิงและอาหารจากเมืองน้ำคำไปเมืองมูเซะตั้งแต่วันอาทิตย์ แต่โฆษกของ TNLA ยืนยันว่ากลุ่มไม่ได้กำหนดข้อจำกัดใดๆ กับการขนส่งสินค้า
ชาวบ้านรายงานว่าข้อจำกัดต่างๆ ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าในเมืองมูเซะและเมืองน้ำคำ นอกจากนี้ ผู้ค้าและคนขับรถต้องตกงานเนื่องจากเส้นทางการค้าปิด
ข้อจำกัดที่กำหนดขึ้นโดยจีนและรัฐบาลทหารพม่าส่งผลกระทบต่อผู้คนเกือบ 2 ล้านชีวิตที่อาศัยอยู่ในรัฐชานเหนือ ชาวบ้านระบุ.