MGR ออนไลน์ - กัมพูชาอาจกลายเป็นผู้ได้ประโยชน์รายใหญ่หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ทำตามคำขู่ของเขาที่จะขึ้นภาษีกับสินค้าจีนให้สูงขึ้นอีก โดยบริษัทของสหรัฐฯ หลายแห่งกำลังวางแผนที่จะย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมายังกัมพูชา
โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อสัปดาห์ก่อน ขู่ที่จะขึ้นภาษีสินค้าจีนถึง 60% หรือมากกว่านั้น
สตีฟ แมดเดน บริษัทรองเท้าสหรัฐฯ มูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์ ประกาศทันทีหลังทรัมป์คว้าชัยว่าบริษัทจะลดการผลิตในจีนลงครึ่งหนึ่ง และหันไปผลิตที่กัมพูชา และประเทศต้นทุนต่ำอื่นๆ เช่น เวียดนาม
“เรากำลังวางแผนสำหรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเราจะต้องย้ายสินค้าออกจากจีนอย่างรวดเร็ว และเรากำลังดำเนินการตามแผนนั้น” เอ็ดเวิร์ด โรเซนเฟลด์ ซีอีโอสตีฟ แมดเดน กล่าวกับนักวิเคราะห์ของวอลล์สตรีทหลังการเลือกตั้งเมื่อสัปดาห์ก่อน
ลิม เฮง รองประธานหอการค้ากัมพูชากล่าวว่าแผนของทรัมป์เป็นแรงผลักดันอย่างมหาศาลสำหรับบริษัทต่างๆ ในประเทศ
“เราทราบดีถึงภัยคุกคามจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ภัยคุกคามนี้จะผลักดันบริษัทจีนให้เข้ามาลงทุนในกัมพูชามากขึ้น และส่งออกไปยังสหรัฐฯ” ลิม เฮง กล่าวกับสำนักข่าวขแมร์ไทม์ส
“และไม่ใช่แค่ในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสหภาพยุโรปด้วย บริษัทจีนและบริษัทในภูมิภาคจะเข้ามาลงทุนในกัมพูชา และส่งออกไปยังสหรัฐฯ ยุโรป และที่อื่นๆ สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อกัมพูชาและบริษัทในประเทศ” ลิม เฮง ระบุ และเสริมว่าภาคส่วนเสื้อผ้า รองเท้า และสินค้าการเดินทางจะได้รับประโยชน์เป็นหลัก
สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของกัมพูชา มีสัดส่วน 40% ของการส่งออกทั้งหมดในปีก่อน ที่มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 8,900 ล้านดอลลาร์
ทรัมป์กำลังวางแผนที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภท 10-20% กับประเทศต่างๆ ยกเว้นเม็กซิโก ที่จะปรับเป็น 25% และอาจปรับเป็น 100% หากเม็กซิโกไม่สามารถดำเนินการกับผู้อพยพผิดกฎหมายได้
แต่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าหากทรัมป์ดำเนินการตามคำขู่ดังกล่าว เศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยรวมจะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ที่ถือเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก และส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในประเทศอย่างหนัก
สหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐฯ เผยแพร่ผลการศึกษาเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่เตือนว่าข้อเสนอปรับอัตราภาษีของทรัมป์กับเครื่องแต่งกาย ของเล่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รองเท้า และสินค้าการเดินทาง จะทำให้ผู้บริโภคต้องสูญเสียเงินเพิ่ม 46,000 ล้านดอลลาร์ถึง 78,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี.