รอยเตอร์ - เจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญด้านห่วงโซ่อุปทานกล่าวว่า เวียดนามจะเผชิญกับความผันผวนทางการค้าจากการที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เนื่องจากประเทศอาจได้ประโยชน์จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เพิ่มขึ้น แต่อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากมาตรการคุ้มครองทางการค้าของสหรัฐฯ เช่นกัน
ศูนย์กลางอุตสาหกรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ไปยังสหรัฐฯ และเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากถึง 90,000 ล้านดอลลาร์ ณ เดือน ก.ย. ซึ่งมากเป็นอันดับ 4 รองจากจีน สหภาพยุโรป และเม็กซิโก
ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์แห่งนี้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ ซึ่งโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มดำเนินการตั้งแต่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก
ทรัมป์ขู่ว่าจะขึ้นภาษี 60% กับการนำเข้าสินค้าจีนในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเติบโตครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
ก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่เวียดนามกล่าวว่า พวกเขาต้องการที่จะรักษาสถานะเดิมในนโยบายทางการค้า ที่พวกเขาคาดว่าจะอยู่ภายใต้การนำของประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตอีกคน มากกว่าความไม่สามารถคาดเดาได้ของทรัมป์ เจ้าหน้าที่อาวุโส 2 คนระบุ
เจ้าหน้าที่ระบุว่า เหตุผลหลักของความวิตกกังวลคือการเกินดุลการค้าปริมาณมหาศาลกับวอชิงตัน ที่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่เวียดนามถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบชิ้นส่วนที่ยังคงผลิตในจีนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งบางครั้งนำไปสู่การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ จากการถ่ายลำผิดกฎหมาย
ทรัมป์ยังขู่ว่าจะขึ้นภาษี 20% กับการนำเข้าทั้งหมด
“เวียดนามอาจตกเป็นเป้าของมาตรการคุ้มครองทางการค้า และได้รับความเสียหายทางอ้อม” ลีฟ ชไนเดอร์ จากสำนักงานกฎหมายระหว่างประเทศ Luther ในเวียดนาม ระบุ
อย่างไรก็ตาม มาตรการคุ้มครองทางการค้าเพิ่มเติมอาจเร่งให้เกิดการเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานจากจีนไปยังตลาดอื่นๆ โดยเวียดนามน่าจะยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องการสำหรับบริษัทต่างๆ ที่ย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ชไนเดอร์ กล่าวเสริม
ตลาดหุ้นหลักของเวียดนามพุ่งขึ้นในวันพุธ (6) จากข่าวที่ว่าทรัมป์อาจชนะการเลือกตั้ง โดยได้แรงหนุนจากหุ้นของนิคมอุตสาหกรรม และยังคงเพิ่มขึ้นในเช้าวันพฤหัสฯ (7)
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรีของประเทศ ได้ส่งข้อความแสดงความยินดีถึงทรัมป์ โดยเน้นย้ำถึงการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งของทรัมป์ในสมัยก่อนหน้า และหวังว่าความสัมพันธ์ของสองประเทศจะยังคงเจริญรุ่งเรืองอย่างกว้างขวางต่อไป
นักการทูตอาวุโสที่ประจำอยู่ในกรุงฮานอยกล่าวว่า การเกินดุลการค้าจำนวนมากอาจลดลงเพื่อบรรเทาความตึงเครียด ด้วยการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ โดยชี้ไปที่การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และการซื้อเครื่องบินขนส่งทางทหาร C-130 Hercules ของบริษัท Lockheed Martin
นักลงทุนต่างชาติในเวียดนามกล่าวว่า การที่ Trump Organization เพิ่งร่วมมือกับบริษัทของเวียดนามเมื่อไม่นานนี้ เพื่อพัฒนาโครงการสนามกอล์ฟและรีสอร์ตมูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์ อาจช่วยได้
“อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ เนื่องจากฝ่ายบริหารชุดใหม่ของทรัมป์เสนอทั้งโอกาสและความท้าทายต่อเวียดนาม” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของนิคมอุตสาหกรรม DEEP C ในภาคเหนือของเวียดนาม ระบุ
“แม้ว่าการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของทรัมป์ คาดว่าจะทำให้มีการปรับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ใหม่อีกครั้ง แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงต่อเวียดนามนั้นขึ้นอยู่ขอบเขตและเป้าหมายเฉพาะของการเปลี่ยนแปลงนโยบายเหล่านั้น” ที่ปรึกษาธุรกิจที่มีสำนักงานในกรุงฮานอย กล่าว
“ศักยภาพของเวียดนามในการดึงดูดบริษัทต่างๆ ให้ย้ายฐานมาจากจีนยังคงมีสูง แต่ภาษีและข้อจำกัดทางการค้าอาจเป็นอันตรายต่อความได้เปรียบเหล่านี้” ชไนเดอร์ กล่าว.