รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ได้พบหารือกับประธานาธิบดีโต เลิม ของเวียดนามในวันพุธ (25) โดยมีเป้าหมายที่จะกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และศูนย์กลางการผลิตแห่งนี้ และเพื่อถ่วงดุลฮานอยในความสัมพันธ์กับจีนและรัสเซีย
ไบเดนและเลิม ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ที่ปกครองประเทศ ที่เดินทางเยือนสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดี ได้พบหารือกันนอกรอบการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในนิวยอร์ก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ กล่าวว่าพวกเขาหารือกันถึงวิธีการเร่งความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อปีก่อน
ในการพบหารือกับไบเดนในวันพุธ (25) ผู้นำเวียดนามได้กล่าวชื่นชมสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นการมีส่วนสนับสนุนต่อการยกระดับความสัมพันธ์ทวีภาคีครั้งประวัติศาสตร์ของไบเดน
ไบเดนกล่าวว่านับตั้งแต่เริ่มยุคใหม่ของความสัมพันธ์ในปีที่แล้ว ทั้งสองประเทศได้ลงทุนอย่างมากในภาคส่วนเซมิคอนดักเตอร์และห่วงโซ่อุปทาน และเริ่มดำเนินความร่วมมือด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เขายังกล่าวอีกว่าพวกเขายืนหยัดร่วมกันในความมุ่งมั่นเพื่อเสรีภาพในการเดินเรือและหลักนิติธรรม ซึ่งอ้างถึงข้อพิพาททางทะเลในภูมิภาคกับจีน
สำนักข่าวเวียดนามรายงานว่า เลิมบอกกับไบเดนว่าเวียดนามกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการพัฒนา และเป็นหุ้นส่วนที่เป็นมิตรและเชื่อถือได้
“เวียดนามจะดำเนินนโยบายต่างประเทศของความเป็นอิสระ การพึ่งพาตนเอง พหุพาคี และการกระจายความเสี่ยงอย่างมั่นคงต่อไป” เลิมกล่าวกับไบเดน ตามการรายงานของสื่อของรัฐ และในสัปดาห์นี้ เลิมยังได้พบหารือกับตัวแทนบริษัทของสหรัฐฯ ที่รวมถึง Meta ที่ให้คำมั่นว่าจะขยายการลงทุนในประเทศที่มีประชากร 100 ล้านคนแห่งนี้
ผู้นำเวียดนามได้ขอให้ผู้นำทางธุรกิจสนับสนุนข้อเสนอของฮานอยในการขอให้วอชิงตันถอดเวียดนามออกจากรายชื่อประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ไม่ใช้กลไกตลาด และยกเลิกข้อจำกัดการทางค้าอื่นๆ และเพื่อให้สหรัฐฯ และเวียดนามร่วมมือกันในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์
ไบเดนเยือนกรุงฮานอยเมื่อปีก่อนและได้บรรลุข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์และแร่ธาตุ รวมถึงยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูต แม้ว่าสหรัฐฯ จะมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสิทธิมนุษยชนก็ตาม
มิเชล สตีล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เป็นตัวแทนของชาวอเมริกันเชื้อสายเวียดนาม ได้เขียนจดหมายถึงไบเดนก่อนการประชุม โดยขอให้เขาพูดถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเวียดนามภายใต้การนำของเลิม
เมื่อสอบถามว่ามีการหารือเกี่ยวกับสถานะเศรษฐกิจที่ไม่ใช้กลไกตลาดของเวียดนามหรือไม่ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “พวกเขาหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างกว้างๆ และวางแผนที่จะเพิ่มความร่วมมือกับเวียดนามเป็น 2 เท่า”
ส่วนประเด็นเรื่องจีน เจ้าหน้าที่กล่าวว่าผู้นำทั้งสองประเทศยอมรับความจริงที่ว่าเวียดนามอยู่ในพื้นที่ที่มีความซับซ้อน
เขากล่าวว่ามีการยอมรับว่าฮานอยต้องระมัดระวังอย่างมากและมีกลยุทธ์ในการเข้าถึงภูมิภาค และว่าสหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์
ผู้เชี่ยวชาญด้านเวียดนามจากศูนย์การศึกษาด้านความมั่นคงแห่งเอเชีย-แปซิฟิก
ในฮาวาย ระบุว่าการพบหารือครั้งนี้มีความสำคัญที่ช่วยเลิมรวมอำนาจ หลังได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำสูงสุดของเวียดนามในเดือน ส.ค.
เขากล่าวว่าการประชุมครั้งนี้เป็นสัญญาณของจุดยืนที่สมดุลของเวียดนามระหว่างชาติมหาอำนาจ จากการเยือนจีนเมื่อไม่นานนี้ของเลิม และการพบหารือกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ตลอดจนความสำคัญของความสัมพันธ์ของฮานอยในนโยบายเอเชียของสหรัฐฯ
ผู้นำเวียดนามขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ต่อสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันอังคาร (24) และมีกำหนดเดินทางต่อไปยังคิวบา ที่เป็นพันธมิตรคอมมิวนิสต์ยาวนานของเวียดนาม
ก่อนการเดินทาง เจ้าหน้าที่เวียดนามได้ปล่อยตัวนักเคลื่อนไหวที่มีชื่อเสียงบางคนออกจากเรือนจำก่อนครบโทษจำคุก ซึ่งในนั้นรวมถึง เจิ่น ฮวีง ซวี ทึก ที่ถูกตัดสินจำคุก 16 ปี ในเดือน ม.ค.2553 ในข้อหาล้มล้าง และนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ฮว่าง ถิ มีง ฮง ที่ถูกตัดสินจำคุก 3 ปี จากข้อหาเลี่ยงภาษีในเดือน ก.ย.2566 แต่ผู้เห็นต่างคนอื่นๆ ยังคงถูกคุมขัง
แหล่งข่าวกล่าวกับรอยเตอร์ว่าสหรัฐฯ กำลังเรียกร้องให้เวียดนามหลีกเลี่ยงบริษัทจีนในแผนการสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 10 เส้นภายในปี 2573
เวียดนามยืนกรานมานานว่าควรปลดสถานะเศรษฐกิจที่ไม่ใช้กลไกลตลาดเนื่องจากการปฏิรูปเศรษฐกิจเมื่อไม่นานนี้ และระบุว่าการคงสถานะนี้ไว้ไม่ดีต่อความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อยๆ ที่วอชิงตันมองว่าเป็นการถ่วงดุลกับจีน
อย่างไรก็ตาม เมอร์เรย์ ฮีเบิร์ต ผู้ช่วยอาวุโสของโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ในวอชิงตัน ระบุว่าไม่ใช่สิทธิพิเศษของไบเดนที่จะเสนอการผ่อนปรนในเรื่องนั้น แต่เป็นไปตามเกณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์
ฝ่ายตรงข้ามรวมถึงกลุ่มล็อบบี้แรงงานสหรัฐฯ ที่มีอิทธิพลทางการเมือง โต้แย้งว่าความมุ่งมั่นในนโยบายของเวียดนามไม่ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเวียดนามยังถูกใช้เป็นศูนย์กลางการผลิตของบริษัทจีนมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการนำเข้าสินค้าจากจีนของสหรัฐฯ.