รอยเตอร์ - กระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาได้แสดงความรู้สึกเสียใจต่อการตัดสินของสหรัฐฯ ในการคว่ำบาตรนักธุรกิจใหญ่และสมาชิกพฤฒสภา (สภาสูง) จากการถูกกล่าวหาว่าค้ามนุษย์ ที่ถูกบังคับให้ทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และระบุว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีแรงจูงใจทางการเมือง
แผนของสหรัฐฯ ในการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนของความสัมพันธ์ ที่กัมพูชาเข้าใกล้จีน ที่เป็นคู่แข่งทางยุทธศาสตร์ของวอชิงตันมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าสหรัฐฯ พยายามเอาใจฮุน มาเนต ผู้นำคนใหม่ของกัมพูชา
กระทรวงการต่างประเทศระบุในคำแถลงว่า “การคว่ำบาตรฝ่ายเดียวดังกล่าวเป็นการบ่อนทำลายความเคาพต่อกฎหมายระหว่างประเทศและบรรทัดฐานพื้นฐานที่ควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ โดยเฉพาะหลักการของความเสมอภาคในอธิปไตยและการไม่แทรกแซง”
ลี ยง พัด ที่ตกเป็นเป้าของการคว่ำบาตร ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของฮุนเซน ในปี 2565
มาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวมีเป้าหมายที่บริษัทในเครือ L.Y.P Group Co. และโรงแรม O-Smach Resort
สำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศ ภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่ายังกำหนดมาตรการคว่ำบาตรกับโรงแรม Garden City, โรงแรม Koh Kong Resort และโรงแรม Phnom Penh เนื่องจากเป็นโรงแรมที่ ลี ยง พัด เป็นเจ้าของหรือควบคุมอยู่
ทั้งนี้ บริษัท L.Y.P Group ไม่ได้ตอบกลับคำขอความคิดเห็นจากรอยเตอร์
แบรดลีย์ สมิท รักษาการปลัดกระทรวงการคลัง ฝ่ายการก่อการร้ายและข่าวกรองทางการเงิน ระบุว่าการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรมีขึ้นเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์และการละเมิดอื่นๆ รับผิดชอบ ขณะเดียวกันก็ขัดขวางความสามารถในการดำเนินการแผนฉ้อโกงการลงทุน ที่มุ่งเป้าไปยังบุคคลที่ไม่สงสัยจำนวนมาก รวมทั้งชาวอเมริกัน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กัมพูชาและประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอาชญากรรมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ที่มุ่งเป้าเหยื่อทั่วโลกด้วยการหลอกลงทุนเงินสกุลดิจิทัล และแผนฉ้อโกงอื่นๆ โดยมักดำเนินการจากฐานปฏิบัติการที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มอาชญากรชาวจีน และมีพนักงานที่เป็นเหยื่อค้ามนุษย์
เจคอป ซิมส์ นักวิเคราะห์ที่เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมข้ามชาติและสิทธิมนุษยชน กล่าวว่ามาตการคว่ำบาตรดังกล่าวเป็นการส่งสารจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าการฉ้อโกงหลอกลวงเป็นปัญหาความมั่นคงระดับชาติ.