xs
xsm
sm
md
lg

กองทัพพม่าโจมตีทางอากาศถล่มเมืองน้ำคำกลางดึก ทำพลเรือนดับ 11 ราย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เอเอฟพี - กองทัพพม่าโจมตีทางอากาศในพื้นที่รัฐชานตอนเหนือ ทำให้พลเรือนเสียชีวิต 11 คน และได้รับบาดเจ็บอีก 11 คน โฆษกของกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ที่ต่อสู้กับรัฐบาลทหารเผยกับเอเอฟพีวันนี้ (6)

รัฐบาลทหารกำลังต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธที่ต่อต้านการรัฐประหารปี 2564 โดยทหารถูกกล่าวหาว่ากระทำการโจมตีอย่างรุนแรงนองเลือด และใช้การโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่ลงโทษชุมชนพลเรือน

“พวกเขาทิ้งระเบิดใน 2 พื้นที่ในเมืองน้ำคำวันนี้ เมื่อเวลาประมาณ 1.00 น.” ลเว เย อู จากกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง (TNLA) กล่าว

การโจมตีดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 คน และได้รับบาดเจ็บ 11 คน โฆษกของ TNLA ระบุ และเสริมว่าสำนักงานของพรรคการเมืองท้องถิ่นได้รับความเสียหาย

ผู้เสียชีวิตเป็นชาย 5 คน หญิง 4 คน และเด็ก 2 คน โฆษก TNLA ระบุ

เมืองน้ำคำอยู่ห่างจากชายแดนมณฑลยูนนานของจีนประมาณ 5 กิโลเมตร โดยสมาชิกของ TNLA อ้างสิทธิในการควบคุมเมืองนี้ หลังจากสู้รบหลายสัปดาห์เมื่อปีที่แล้ว

ภาพที่ปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์เผยให้เห็นผู้คนกำลังรื้อซากปรักหักพังและอุ้มคนที่ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ

นับตั้งแต่ปีที่แล้ว กองทัพสูญเสียพื้นที่จำนวนมากใกล้ชายแดนจีนในรัฐชานตอนเหนือให้พันธมิตรของกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ และกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF) ที่ต่อสู้เพื่อโค่นล้มการรัฐประหาร

กลุ่มติดอาวุธได้เข้ายึดกองบัญชาการทหารภูมิภาค และควบคุมด่านการค้าชายแดนที่ทำกำไรมหาศาล ส่งผลให้บรรดาผู้สนับสนุนกองทัพส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งหาได้ยาก

สื่อของรัฐรายงานเมื่อต้นสัปดาห์ว่า พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้เตือนพลเรือนในพื้นที่ที่กลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ยึดครองให้เตรียมรับมือกับการโจมตีตอบโต้ของกองทัพ

นอกจากนี้ กองทัพยังประกาศให้ TNLA เป็นองค์กรก่อการร้าย ผู้ที่พบว่าสนับสนุนหรือติดต่อกับ TNLA และกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์อีก 2 กลุ่ม คือ กองทัพอาระกัน (AA) และกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติพม่า (MNDAA) สามารถถูกดำเนินคดีได้

พม่าตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายนับตั้งแต่กองทัพโค่นล้มรัฐบาลของอองซานซูจีในปี 2564 และเปิดฉากปราบปรามที่จุดชนวนให้เกิดการลุกฮือด้วยอาวุธ

ความขัดแย้งนับตั้งแต่การรัฐประหารทำให้ประชาชนมากกว่า 2.7 ล้านคน ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนของตนเอง ตามการรายงานของสหประชาชาติ.




กำลังโหลดความคิดเห็น