เอพี - พล.ต.อ.โต เลิม เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงระดับสูงของเวียดนามได้รับการยืนยันในวันพุธ (22) ว่าเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศ เขาเป็นผู้กำกับดูแลการปฏิบัติงานของตำรวจและหน่วยข่าวกรองในช่วงเวลาหนึ่งที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวว่าเสรีภาพขั้นพื้นฐานถูกปราบปรามอย่างเป็นระบบ และหน่วยสืบราชการลับของประเทศถูกกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศด้วย
โต เลิม ได้รับการยืนยันจากสมัชชาแห่งชาติหลังจากประธานาธิบดีคนก่อนลาออกท่ามกลางการรณรงค์ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ที่ทำให้สถาบันทางการเมืองและผู้นำทางธุรกิจของประเทศระส่ำระสาย และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับสูงในรัฐบาลหลายครั้ง
ตำแหน่งประธานาธิบดีเกี่ยวข้องกับพิธีการเป็นส่วนใหญ่ แต่บทบาทใหม่โต เลิม ในฐานะผู้นำประเทศ ทำให้ชายวัย 66 ปี ผู้นี้อยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งมากที่จะกลายเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์คนต่อไป ตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญที่สุดในประเทศ เหวียน คัก ซาง นักวิเคราะห์จากสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ในสิงคโปร์ กล่าว
เหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 3 ในปี 2564 แต่ด้วยอายุ 80 ปี ทำให้เขาอาจไม่ต้องการดำรงตำแหน่งต่อไปอีกหลังจากปี 2569
เหวียน ฝู จ่อง เป็นนักอุดมการณ์ ที่มองว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่สุดที่พรรคต้องเผชิญ ในฐานะเจ้าหน้าที่ความมั่นคงระดับสูงของประเทศ โต เลิมเป็นผู้นำการรณรงค์ต่อต้านการรับสินบนอย่างกว้างขวางของเหวียน ฝู จ่อง
หลังจากเลิม ได้รับการยืนยันเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงความมั่นคงสาธารณะได้รับการแต่งตั้งให้รับช่วงต่อจากเขาที่กระทรวงเป็นการชั่วคราว
เลิมใช้เวลามากกว่า 4 ทศวรรษในกระทรวงความมั่นคงสาธารณะก่อนที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในปี 2559 การได้รับแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีเกิดขึ้นในขณะที่โปลิตบูโรเสียสมาชิกไป 6 คน จากทั้งหมด 18 คน ท่ามกลางการรณรงค์ต่อต้านการรับสินบนที่ขยายวงกว้าง ที่รวมถึงอดีตประธานาธิบดี 2 คน และประธานสมัชชาแห่งชาติ
โต เลิม อยู่เบื้องหลังการสืบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองดังหลายคดี เหวียน คัก ซาง ระบุ และว่านายกรัฐมนตรีฝ่าม มีง จีง ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญอีกคนหนึ่งที่อาจเข้ามาสืบทอดตำแหน่งต่อจากเหวียน ฝู จ่อง
รองประธานสมัชชาแห่งชาติคนปัจจุบันได้รับการยืนยันเมื่อวันจันทร์ให้ดำรงตำแหน่งประธานสมัชชาแห่งชาติ หลังจากเวือง ดิ่ง เหวะ ประธานสมัชชาแห่งชาติคนก่อนลาออกท่ามกลางการรณรงค์ต่อต้านการรับสินบน ทั้งนี้ เวือง ดิ่ง เหวะ เคยถูกมองว่าจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเหวียน ฝู จ่อง จนกระทั่งเขาลาออก
ความไม่มั่นคงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในระบบการเมืองของเวียดนามทำให้นักลงทุนวิตกกังวล เนื่องจากประเทศกำลังพยายามวางตำแหน่งตัวเองเป็นทางเลือกสำหรับบริษัทที่ต่องการย้ายห่วงโซ่อุปทานของพวกเขาออกจากจีน
การลงทุนจากต่างประเทศที่หลั่งไหลเข้ามา โดยเฉพาะในด้านการผลิตผลิตภัณฑ์ไฮเทค เช่น สมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์ ได้เพิ่มความคาดหวังว่าจะสามารถเข้าร่วมกลุ่ม 4 เสือแห่งเอเชีย ที่ประกอบด้วย ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน ที่เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาเข้าสู่เศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วและมีอัตราการเติบโตสูง
แต่เรื่องอื้อฉาว ที่รวมถึงโทษประหารชีวิตกับนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินเกือบ 3% ของจีดีพีประเทศในปี 2565 กระทบการตัดสินใจของราชการ ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงเหลือ 5.1% ในปีที่แล้ว จาก 8% ในปี 2565 เนื่องจากการส่งออกชะลอตัว
ในช่วงหลายปีที่ โต เลิม เป็นรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ฮิวแมนไรท์วอทช์ องค์กรนิรโทษกรรมสากล และองค์กรเฝ้าระวังอื่นๆ ได้วิพากษ์วิจารณ์เวียดนามอย่างรุนแรงถึงการคุกคามและข่มขู่ผู้วิพากษ์วิจารณ์
ในปี 2564 ศาลตัดสินลงโทษบุคคลอย่างน้อย 32 คน ฐานโพสต์ความคิดเห็นเชิงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับรัฐบาล และตัดสินจำคุกพวกเขาเป็นเวลาหลายปี ขณะที่ตำรวจจับกุมคนอีกอย่างน้อย 26 คน ในข้อหาที่กุขึ้น ตามการระบุของฮิวแมนไรท์วอชท์
ภายใต้การกำกับดูแลของโต เลิม ในฐานะหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงสูงสุดของเวียดนาม ภาคประชาสังคมเผชิญกับการควบคุมมากขึ้น ข้อจำกัดด้านการช่วยเหลือจากต่างประเทศที่ประกาศบังคับใช้ในปี 2564 เข้มงวดขึ้นในปี 2566 ประเทศจำคุกนักเคลื่อนไหวด้านสภาพอากาศ และการนำกฎหมายมาใช้ในการเซ็นเซอร์สื่อสังคมออนไลน์ เบน สวอนตัน จาก Project88 ระบุ
“ด้วยการขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของโต เลิม ขณะนี้เวียดนามกลายเป็นรัฐตำรวจอย่างแท้จริง” สวอนตัน กล่าว พร้อมเสริมว่าโปลิตบูโรเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง เขากล่าวว่าเขาคาดว่าการปราบปรามและการเซ็นเซอร์น่าจะทวีความเข้มข้นขึ้น
ในขณะที่เวียดนามอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2564 มีคลิปวิดีโอปรากฏขึ้นโดยแสดงให้เห็นเชฟชาวตุรกี นูเร็ต โกคเช หรือที่รู้จักในชื่อซอลต์เบ กำลังป้อนชิ้นสเต๊กเคลือบทองให้โต เลิม ในร้านอาหารที่กรุงลอนดอน แม้พยายามที่จะเซ็นเซอร์ แต่คลิปวิดีโอดังกล่าวกลายเป็นไวรัลและสร้างความไม่พอใจอย่างกว้างขวางจากผู้คนที่กำลังอดทนต่อมาตรการล็อกดาวน์ ที่ยังทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน พ่อค้าก๋วยเตี๋ยวชาวเวียดนามที่ทำคลิปวิดีโอเลียนแบบท่าทางของซอลต์เบ ถูกจับกุมตัวในข้หาเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านรัฐ และถูกตัดสินจำคุก 5 ปี
นอกจากนี้ ในปี 2560 ที่โต เลิม ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีความมั่นคงสาธารณะ ทางการเยอรมนีกล่าวว่า จีง ซวน แท็ง นักธุรกิจและอดีตนักการเมืองชาวเวียดนาม และผู้ติดตามคนหนึ่งถูกลักพาตัวและลากขึ้นรถตู้ในกรุงเบอร์ลิน ในสิ่งที่เจ้าหน้าที่ที่นั่นเรียกว่า ‘การละเมิดกฎหมายของเยอรมนีและกฎหมายระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้งและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน’
เวียดนามยืนกรานว่า จีง ซวน แท็ง ยอมมอบตัวต่อทางการเวียดนาม หลังจากหลบเลี่ยงหมายจับมานานเกือบ 1 ปี ด้านเยอรมนีกล่าวว่าเขาและผู้ติดตามถูกลักพาตัว และตอบโต้ด้วยการเรียกเอกอัครราชทูตเวียดนามเข้าพูดคุยและขับผู้ช่วยทูตฝ่ายข่าวกรองของเวียดนามออกจากประเทศ
จีง ซวน แท็ง ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในปี 2561 หลังถูกพิจารณาคดีในเวียดนาม
สำนักงานอัยการกลางเยอรมนีประกาศข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับการจารกรรมในปี 2565 ต่อชายที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นส่วนหนึ่งของการลักพาตัว จีง ซวน แท็ง โดยกล่าวว่าการลักพาตัวเป็นปฏิบัติการของหน่วยสืบราชการลับของเวียดนาม ที่ดำเนินการโดยสายลับและสมาชิกของสถานทูตในกรุงเบอร์ลิน รวมถึงชาวเวียดนามหลายคนที่อาศัยอยู่ในยุโรป
ผู้ต้องสงสัยที่ระบุชื่อเพียง แอ็ง ที แอล ตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของเยอรมนี ถูกตัดสินความผิดในปี 2556 ฐานให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการลักพาตัวในฐานะสายลับต่างประเทศ และถูกตัดสินจำคุก 5 ปี
“ความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมนีและเวียดนามยังคงสั่นคลอนจากอาชญากรรมนี้จนถึงทุกวันนี้” ศาลเยอรมนีระบุในขณะนั้น
ส่วนผู้ต้องสงสัยอีกรายหนึ่งที่ระบุว่าชื่อ ลอง เอ็น เอช ถูกตัดสินความผิดในศาลเบอร์ลินเมื่อปี 2561 ในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการจารกรรม และถูกตัดสินจำคุกเกือบ 4 ปี.