รอยเตอร์ - ชาวพม่าหลายร้อยคนในฝั่งเมืองเมียวดีเดินทางข้ามแม่น้ำที่เป็นพรมแดนระหว่างพม่าและไทยในวันนี้ (12) หลังจากเมืองชายแดนยุทธศาสตร์ตกอยู่ในความควบคุมของกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ที่ต่อสู้กับรัฐบาลทหารพม่า
ชาวเมืองเมียวดีบางคนกล่าวว่า พวกเขากลัวการโจมตีทางอากาศของทหารพม่าหลังกลุ่มติดอาวุธยึดเมืองเมียวดีไว้ได้ ซึ่งเมืองนี้มีประชากรอาศัยอยู่ราว 200,000 คน ตรงข้ามเมืองแม่สอดของไทย โดยมีแม่น้ำเมยเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างสองประเทศ
“นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันหนีมาที่นี่ พวกเขาไม่สามารถระเบิดประเทศไทยได้” โม โม เต๊ต หญิงชาวเมียวดีที่ยืนเข้าแถวที่จุดตรวจด่านพรมแดนพร้อมกับผู้คนจำนวนมากท่ามกลางความร้อนระอุ กล่าว และเธอได้ข้ามแดนเข้ามาในฝั่งไทยพร้อมกับลูกชายคนเล็กของเธอแล้ว
รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยกล่าวว่า รัฐบาลกำลังเตรียมรับมือกับผู้ลี้ภัยที่หลั่งไหลเข้ามาและเขาได้เรียกร้องให้รัฐบาลทหารพม่าลดความรุนแรง
ไทยยังทำงานร่วมกับสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เพื่อฟื้นฟูแผนสันติภาพสำหรับพม่าที่หยุดชะงัก รัฐมนตรีต่างประเทศกล่าว
“นี่คือประเทศเพื่อนบ้านของเรา และเราไม่ต้องการเห็นความรุนแรง เราอยากเห็นพวกเขาพูดคุยกัน พวกเขาสามารถใช้เราเป็นคนกลางได้ถ้าพวกเขาต้องการ” ปานปรีย์ พหิทธานุกร กล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังเดินทางลงพื้นที่แม่สอด
เมืองเมียวดีถูกกองกำลังต่อต้านรัฐบาลทหารนำโดยสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ยึดไปจากการควบคุมของทหารในวันพฤหัสฯ
ไทยกำลังพิจารณาเส้นทางการค้าทางเลือกในกรณีที่มีการปิดถนนเนื่องจากการสู้รบ ปานปรีย์ระบุ
กลุ่มทหารพม่าไม่ถึง 200 นาย ที่ล่าถอยเมื่อต้นสัปดาห์จากฐานของพวกเขามายังชายแดนไทยยังคงอยู่ในพื้นที่ และจนถึงขณะนี้ทางการไทยยังไม่ได้รับคำร้องขอใดๆ จากพวกเขาที่จะข้ามฝั่งเข้ามา
“พวกเขาต้องทิ้งอาวุธ เปลี่ยนเป็นชุดพลเรือน ก่อนที่เราจะอนุญาตให้พวกเขาข้ามแดนเข้ามา” รัฐมนตรีต่างประเทศระบุ
สื่อท้องถิ่นของพม่ารายงานว่า ทหารกลุ่มนี้ที่พักอยู่ใกล้กับสะพานมิตรภาพถูกโจมตีด้วยโดรนที่กลุ่มต่อต้านส่งมาในช่วงค่ำวันนี้ (12)
การรักษาความปลอดภัยในพื้นที่เข้มงวดขึ้นหลังมีเกิดเหตุดังกล่าว โดยทหารไทยได้ออกลาดตระเวนบริเวณริมแม่น้ำ และปิดพื้นที่บางส่วนใต้สะพานที่ข้ามไปเมียวดี ตามการระบุของพยานของรอยเตอร์
พม่าตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายนับตั้งแต่ปี 2564 ที่กองทัพโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ก่อให้เกิดการชุมนุมประท้วงอย่างกว้างขวางที่กองทัพดำเนินการปราบปรามอย่างรุนแรง
ความโกรธแค้นที่คุกรุ่นต่อรัฐบาลทหารกลายเป็นขบวนการต่อต้านด้วยอาวุธทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้ได้ขยายปฏิบัติการร่วมกับกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์เพื่อท้าทายกองทัพในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ
ผู้คนจำนวนมากที่หลบหนีออกจากพม่าต่างเข้าคิวอยู่ที่จุดผ่านแดนในวันนี้ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดในฝั่งไทย
“ผมกลัวการโจมตีทางอากาศ” โม โม เทต ซาน อายุ 39 ปี กล่าว
นักวิเคราะห์ระบุว่า การสูญเสียเมืองเมียวดี ได้ปล้นรายได้สำคัญจากการค้าชายแดนของรัฐบาลทหารที่กำลังต่อสู้กับเศรษฐกิจที่กำลังทรุดลงเร็วมาก ขณะเดียวกันก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มติดอาวุธ
กองทัพพม่าอาจยังคงพยายามที่จะโจมตีตอบโต้โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทัพอากาศเพื่อยึดเมืองกลับคืน ซึ่งนั่นทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการสู้รบที่ทวีความรุนแรงขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช จากโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวกับรอยเตอร์.