รอยเตอร์ - เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำสหรัฐฯ เรียกร้องให้วอชิงตันยุติการกำหนดสถานะเวียดนามว่าเป็น ‘เศรษฐกิจที่ไม่ใช่ตลาด’ พร้อมเตือนว่าการกำหนดอัตราภาษีกับสินค้าของเวียดนามที่เป็นผลจากสถานะดังกล่าวนั้นส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ใกล้ชิดขึ้น
เมื่อปีที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่ากำลังพิจารณาทบทวนสถานะเศรษฐกิจไม่ใช่ตลาดของเวียดนาม หลังจากฮานอยแย้งว่าควรถอดออกจากรายชื่อที่ใช้ในคดีต่อต้านการทุ่มตลาด เนื่องจากการปฏิรูปเศรษฐกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
สถานะเศรษฐกิจแบบไม่ใช่ตลาด ที่ยังถูกนำไปใช้กับจีนและรัสเซียเนื่องจากรัฐมีส่วนร่วมอย่างมากในเศรษฐกิจของตน ทำให้สหรัฐฯ สามารถกำหนดภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดที่สูงขึ้นกับการนำเข้าสินค้าจากประเทศที่กำหนดโดยอาศัยราคากลางของประเทศที่ 3
ตามกฎหมายสหรัฐฯ การพิจารณาทบทวนที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 24 ต.ค. ต้องแล้วเสร็จภายใน 270 วัน หรือประมาณกลางเดือน ก.ค.
“แน่นอนว่า เราต้องการให้เวียดนามถูกถอดออกจากรายชื่อประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจไม่ใช่ตลาดของสหรัฐฯ” เอกอัครราชทูตเหวียน ก๊วก ซุง กล่าวกับศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษาระหว่างประเทศ (CSIS) โดยกล่าวว่าเวียดนามไม่สมควรอยู่ในสถานะดังกล่าวอีกต่อไป สถานะที่ใช้กับเพียง 12 ประเทศทั่วโลก
“คุณลองจินตนาการถึงสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราพยายาม และมองดูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศของเรา ยอมรับได้หรือที่เวียดนามเป็นหนึ่งใน 12 ประเทศนั้น…ประเทศที่เลวร้ายที่สุดในโลก? นั่นคือยอมรับไม่ได้ ดังนั้นผมคิดว่าหากกระทรวงพาณิชย์ปฏิเสธที่จะถอนสถานะ ผมคิดว่ามันจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากต่อสองประเทศ” เอกอัครราชทูตเวียดนาม กล่าว
เมื่อปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ และเวียดนามได้ยกระดับความสัมพันธ์สู่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ครอบคลุมระหว่างการเยือนฮานอยของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีฝ่าย มีง จีง ของเวียดนาม ได้เรียกร้องให้รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยุติสถานะดังกล่าว
เอกอัครราชทูตเหวียน ก๊วก ซุง กล่าวว่าเวียดนามแสวงหาการลงทุนจากสหรัฐฯ มากขึ้น เพื่อเพิ่มตำแหน่งของประเทศในห่วงโซ่อุปทานไฮเทคในระดับโลก และเพื่อให้เป็นไปตามข้อผูกพันเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอน
“เราต้องการมีตลาดสินค้าและบริการที่เปิดกว้าง และเอื้ออำนวยมากขึ้น สำหรับทั้งสองประเทศ และแน่นอนว่าคดีสืบสวนน้อยลง”
ซุงกล่าวว่า ฮานอยหวังว่าวันหนึ่งกรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก ภายใต้การนำของสหรัฐฯ จะรวมถึงการเข้าถึงตลาดที่เป็นที่ต้องการของหลายประเทศในเอเชีย
เขายังกล่าวว่าเวียดนามต้องการความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ในการจัดการกับสรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิดซึ่งตกค้างจากสงครามเวียดนาม
“สิ่งที่เราทำมานั้นยอดเยี่ยมแล้ว แต่ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก เราต้องเร่งมือและเราต้องการเงินทุนเพิ่ม” ซุง กล่าว
เมื่อถูกถามถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2567 ที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งฝ่ายบริหารของเขาขู่ว่าจะกำหนดภาษีกับสินค้าเวียดนามจากข้อกล่าวหาบิดเบือนค่าเงิน เป็นตัวเต็งของพรรครีพับลิกัน
เขากล่าวว่ามีการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากทั้งสองฝ่ายสำหรับความร่วมมือ แต่ความกระตือรือร้นอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และพัฒนาการของช่วงเวลาในแต่ละประเทศ.