MGR ออนไลน์ - การสู้รบที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างกองกำลังของกองทัพอาระกัน (AA) และกองกำลังของรัฐบาลทหาร ในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของพม่า ส่งผลให้ชาวบ้านหลายหมื่นคนต้องหลบหนีออกจากเมืองใหญ่ 4 เมือง ด้วยคาดว่าจะเกิดการปะทะเพิ่มขึ้นอีก
การสู้รบที่เกิดขึ้นหลังจากกองทัพอาระกันโจมตีด่านตำรวจ 2 แห่งเมื่อวันที่ 13 พ.ย. ทำให้ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างสองฝ่ายที่ดำเนินมาตั้งแต่ พ.ย.2565 สิ้นสุดลง
แหล่งข่าวในพื้นที่ระบุว่า กองกำลังทหารได้ระดมยิงใส่เมืองต่างๆ ในรัฐยะไข่ ด้วยปืนใหญ่ ก่อนที่จะเข้าประจำการและจับกุมผู้คน
ก่อนการมาถึงของกองกำลังทหารฝ่ายรัฐบาล ชาวบ้านในเมืองเปาก์ตอ ซิตตะเว ปอนนายุน และมินบยา ที่มีประชากรรวมกันประมาณ 150,000 คน กำลังหลบหนีออกจากเมืองกันเป็นกลุ่มใหญ่
“ผู้คนเกือบทั้งหมดหลบหนีออกจากที่อยู่อาศัย เหลืออยู่ในเมืองไม่ถึง 1% บ้านหลายหลังตอนนี้ว่างเปล่า เพราะชาวบ้านกลัวว่าฝ่ายรัฐบาลทหารจะโจมตีอีก” ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเมืองมินบยา กล่าว
เมื่อวันที่ 24 พ.ย. เรือทหารลำหนึ่งในแม่น้ำกะลาดานยิงปืนใหญ่ใส่เมืองปอนนายุน ทำให้ตลาดหลักของเมืองไฟไหม้ ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวกับสำนักข่าววิทยุเอเชียเสรี และตั้งแต่นั้นมาผู้คนเกือบทั้งหมดเก็บข้าวของหลบหนี
“เรารู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ในเมือง เราถูกโจมตีด้วยอาวุธหนัก ส่วนตลาดถูกไฟไหม้เสียหาย ผู้คนกังวลเรื่องความปลอดภัย เหลือคนอยู่ในเมืองไม่มากแล้ว ส่วนใหญ่หนีไปพื้นที่ที่ปลอดภัยกว่า” ชาวบ้าน กล่าว
การต่อสู้ในเมืองเปาก์ตอทวีความรุนแรงมากขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. เมื่อกองทัพอาระกันยึดการควบคุมสถานีตำรวจของรัฐบาลทหารได้ ชาวบ้านระบุ บ้านเรือนถูกทำลายจากเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นจากการระดมยิงของทหาร และกองกำลังของรัฐได้วางกำลังอยู่ที่ชั้นบนสุดของอาคารที่สูงที่สุดของเมือง
สำหรับเมืองซิตตะเว เมืองเอกของรัฐยะไข่ กองทัพได้ยิงปืนใหญ่ใส่เมืองและจับกุมพลเรือนที่ต้องสงสัยว่ามีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์
“ทหารระดมยิงใส่เมืองและจับผู้คน ทำให้ชาวบ้านหวาดกลัวและหนีไปพื้นที่อื่น” ชาวบ้านรายหนึ่ง กล่าว
ส่วนคนที่ยังอยู่ในเมืองพวกเขาไม่สามารถออกจากบ้านได้ในช่วงเวลาเคอร์ฟิวตั้งแต่เวลา 21.00 น. จนถึง 6.00 น.
ซอ มิน ตุน โฆษกรัฐบาลทหารพม่าไม่ได้แสดงความคิดเห็นถึงการอพยพของพลเรือน แต่เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ได้กล่าวกับสื่อของรัฐว่า กองทัพอาระกันทำให้ชาวเมืองเปาก์ตอและปอนนายุนต้องหนีออกจากบ้านของตนเอง
แต่นักการเมืองชาวยะไข่และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยืนยันกับสำนักข่าวว่าชาวเมืองหลบหนีทหาร
“กองกำลังของรัฐบาลทหารโจมตีพลเรือนในเมืองและหมู่บ้านต่างๆ อย่างโหดร้าย พวกเขาโจมตีด้วยปืนใหญ่ที่ทำลายความเป็นอยู่ของพวกเขา การโจมตีเช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองเปาก์ตอ ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อยึดเมืองคืนจากการควบคุมของกองทัพอาระกัน ทำให้ผู้คนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหนีออกจากบ้าน และหาที่หลบภัยในพื้นที่ห่างไกล” นักการเมืองชาวยะไข่ กล่าว
ตามข้อมูลประชากรที่เผยแพร่โดยหน่วยงานรัฐบาลในปี 2562 ระบุว่า เมืองเปาก์ตอมีประชากรเกือบ 20,000 คน เมืองปอนนายุน มีประชากรมากกว่า 10,000 คน เมืองมินบยา มากกว่า 20,000 คน และเมืองซิตตะเว มากกว่า 100,000 คน
แหล่งข่าวกล่าวว่า ประชากรเกือบทั้งหมดของเมืองเปาก์ตอ ปอนนายุน และมินบยา ได้หลบหนีออกไปแล้ว เว้นเพียงเมืองซิตตะเวที่ผู้คนหลบหนีออกไปไม่มากนัก
นับตั้งแต่ข้อตกลงสงบศึกในรัฐยะไข่ที่ดำเนินมาได้ประมาณ 1 ปี สิ้นสุดลง มีพลเรือนถูกสังหารอย่างน้อย 17 คน และได้รับบาดเจ็บ 70 คน ตามการรายงานของสื่อ.