เอเอฟพี - องค์การนิรโทษกรรมสากลกล่าวหากัมพูชาว่าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศด้วยการขับไล่ชาวเขมรกว่า 10,000 ครอบครัว ออกจากบริเวณรอบๆ หมู่ปราสาทนครวัด
ในช่วงปีที่ผ่านมา ทางการกัมพูชาเพิ่มการย้ายถิ่นฐานของครอบครัวที่อาศัยอยู่ภายในพื้นที่มรดกโลกของยูเนสโกไปยังชุมชนแห่งใหม่ที่สร้างขึ้นบนผืนนาห่างออกไปราว 25 กิโลเมตร
เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าครอบครัวต่างๆ เหล่านี้ ย้ายที่ด้วยความสมัครใจ แต่ในรายงานที่เผยแพร่วันนี้ (14) ขององค์การนิรโทษกรรมสากลระบุว่า หลายครอบครัวถูกคุกคามทั้งทางตรงและทางอ้อม
“พวกเขาต้องยุติการบังคับไล่ที่ผู้คนและการละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศโดยทันที” เจ้าหน้าที่ขององค์การนิรโทษกรรมสากลระบุ
โฆษกของรัฐบาลกัมพูชาระบุว่า รายงานดังกล่าวไม่ถูกต้อง และยืนยันว่าการย้ายถิ่นฐานของชาวบ้านดำเนินการบนพื้นฐานของความสมัครใจ และสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของยูเนสโก
ยูเนสโกระบุว่า รู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อรายงานดังกล่าว ที่มีขึ้นก่อนการประชุมระหว่างรัฐบาลว่าด้วยเมืองพระนคร ยังสำนักงานใหญ่ของหน่วยงานในกรุงปารีส
นครวัด เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของกัมพูชา ดึงดูดชาวต่างชาติมาเยือนมากกว่า 2 ล้านคนในแต่ละปีก่อนการระบาดของโควิด-19
นักท่องเที่ยวเหล่านี้เป็นแหล่งรายได้ของผู้ค้าแผงลอย ผู้ขายอาหารและของที่ระลึก รวมถึงขอทาน และยังทำให้ประชาชนในท้องถิ่นเพิ่มขึ้นจากราว 20,000 คน ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เป็นประมาณ 120,000 คน ในปี 2556
ทางการกัมพูชาระบุว่า พวกเขากำลังดำเนินการเพื่อปกป้องโบราณสถาน ด้วยการย้ายผู้บุกรุกที่ตั้งถิ่นฐานอย่างไม่เป็นทางการออกจากพื้นที่ เนื่องจากทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยการผลิตขยะและการใช้ทรัพยากรน้ำมากเกินไป
เจ้าหน้าที่กล่าวว่า เป้าหมายของการโยกย้ายเกิดขึ้นกับการตั้งถิ่นฐานที่ไม่ได้รับอนุญาต ที่ส่วนใหญ่มักเป็นกระท่อมที่ไม่มีการจัดการสิ่งปฏิกูลอย่างเหมาะสม ไม่มีน้ำประปา หรือในบางกรณีไม่มีไฟฟ้า
รายงานขององค์การนิรโทษกรรมสากลเรียกร้องให้ยูเนสโกประณามการกระทำของทางการกรุงพนมเปญ และเตือนว่าหากยูเนสโกไม่ดำเนินการ การกระทำของทางการกัมพูชาอาจทวีความรุนแรงขึ้น
“หากไม่มีการตอบโต้อย่างจริงจังจากยูเนสโก ความพยายามในการอนุรักษ์อาจถูกประเทศต่างๆ ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อวัตถุประสงค์ของตนเอง และละเมิดสิทธิมนุษยชน” เจ้าหน้าที่จากองค์การนิรโทษกรรมสากล ระบุ
กลุ่มสิทธิกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่จากองค์การอัปสราแห่งชาติกัมพูชา หน่วยงานที่จัดการอุทยานโบราณคดี และกระทรวงที่ดิน กำลังใช้ยูเนสโกอ้างความชอบธรรมต่อการย้ายถิ่นฐาน
ชาวบ้านรายหนึ่งกล่าวว่าเจ้าหน้าที่กัมพูชาบอกเธออย่างชัดเจนว่า “ยูเนสโกต้องการให้ออกไป ไม่เช่นนั้นสถานที่แห่งนี้จะเสียสถานะมรดกโลก”
ชาวบ้านอย่างน้อย 7 คน ที่อาศัยอยู่รอบๆ นครวัด ถูกองค์การอัปสราฟ้องร้องข้อหายุยงปลุกปั่นและขัดขวางการทำงานของรัฐ ตามหมายเรียกของศาลที่เอเอฟพีได้เห็น
คดีความดังกล่าวเกิดขึ้นหลังชาวบ้านหลายร้อยคนประท้วงต่อต้านความพยายามของเจ้าหน้าที่อัปสราในเดือน ส.ค. ที่จะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ถูกกล่าวหาว่าผิดกฎหมายในอุทยาน
“ยูเนสโกมีความกังวลอย่างยิ่งต่อโครงการย้ายประชากรในเมืองพระนครที่ดำเนินการโดยทางการกัมพูชา” หน่วยงานของสหประชาชาติระบุในคำแถลง และเสริมว่า หน่วยงานไม่เคยร้องขอ หรือสนับสนุน หรือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้
ยูเนสโกเรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินมาตรการแก้ไข และตอบสนองต่อข้อกล่าวหาขององค์การนิรโทษกรรมสากลในรายงานถัดไปเกี่ยวกับเมืองพระนคร
อย่างไรก็ตาม โฆษกรัฐบาลกัมพูชากล่าวว่ารัฐบาลกำลังปฏิบัติตามกฎระเบียบของยูเนสโก
“กัมพูชาต้องเคารพเงื่อนไขที่กำหนดขึ้นโดยยูเนสโก” โฆษกรัฐบาลกัมพูชากล่าวกับเอเอฟพี และเสริมว่าเงื่อนไขระบุว่าต้องไม่มีสิ่งปลูกสร้าง การก่อสร้าง หรือผู้คนอาศัยอยู่ในพื้นที่
“อาจมีชาวบ้านบางคนไม่พอใจและพวกเขา (องค์การนิรโทษกรรมสากล) สัมภาษณ์คนเหล่านั้น และพูดว่ารัฐบาลบังคับไล่ที่พวกเขา” โฆษกรัฐบาลกัมพูชากล่าว.