เอพี - ทางการพม่าอนุญาตให้ผู้ต้องขังสามารถพบปะครอบครัวที่มาเยี่ยมจากภายนอกได้ หลังจากสิทธิดังกล่าวถูกระงับมานาน 3 ปีครึ่ง เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สำนักงานข้อมูลของกองทัพและเจ้าหน้าที่เรือนจำระบุ
กฎที่อนุญาตให้เยี่ยมผู้ต้องขังนี้เต็มไปด้วยเงื่อนไขรายละเอียด แต่นับเป็นโอกาสแรกสำหรับผู้ต้องขังทางการเมืองหลายพันคนที่ถูกคุมขังจากต่อต้านการยึดอำนาจของกองทัพในปี 2564 ที่จะได้พบกับสมาชิกในครอบครัวของพวกเขา
ผู้เข้าเยี่ยมต้องสามารถแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และความสัมพันธ์ในครอบครัวกับผู้ต้องขังที่จะเข้าพบ นอกจากนี้จำเป็นต้องมีเอกสารเพิ่มเติมจากสำนักงานปกครองส่วนท้องถิ่นและเขตพื้นที่ตำรวจของผู้เข้าเยี่ยม
สมาชิกครอบครัวของผู้ต้องขังที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหายุยงปลุกปั่นและกบฏจากการประท้วงการปกครองของทหารบอกกับสำนักข่าวเอพีว่า เธอได้รับอนุญาตให้พบกับลูกชายของเธอได้ประมาณ 20 นาที ในห้องขนาดใหญ่ หลังรออยู่นานราว 2 ชั่วโมง พร้อมกับผู้เข้าเยี่ยมคนอื่นๆ อีกกว่า 100 คน ที่เรือนจำทวารวดี ในภูมิภาคพะโค ห่างจากนครย่างกุ้งไปทางเหนือราว 95 กิโลเมตร
เธอกล่าวว่าเธอมีความสุขที่ได้พบลูกชายของเธออีกครั้งหลังจากผ่านไปนานกว่า 1 ปี และสามารถนำยาและเงินมาให้เขาได้ หลังจากพบกันครั้งสุดท้ายในการพิจารณาคดีเดือน ส.ค.2565
ทั้งนี้ ผู้เข้าเยี่ยมต้องพูดคุยกับผู้ต้องขังผ่านตาข่ายลวด 2 ชั้นที่กั้นห่างกันราว 30 เซนติเมตร
แม่ของผู้ต้องขังรายนี้ยังกล่าวว่าเจ้าหน้าที่เรือนจำแจ้งว่าผู้ต้องขังจะได้รับอนุญาตให้พบกับผู้เข้าเยี่ยมเพียงเดือนละหนึ่งครั้ง ซึ่งก่อนเกิดการแพร่ระบาด พวกเขาได้รับอนุญาตให้พบกับครอบครัวอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง
สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองระบุว่ามีผู้ถูกจับกุมตัว 25,337 คน นับตั้งแต่ทหารยึดอำนาจในปี 2564 และจากจำนวนดังกล่าว มี 19,616 คน รวมทั้งอองซานซูจี ยังคงถูกคุมขังจนถึงขณะนี้
ตุน จี สมาชิกอาวุโสของสมาคมอดีตนักโทษการเมือง กล่าวว่า การผ่อนคลายเงื่อนไขใดๆ ก็ตามเกี่ยวกับเรือนจำ ถือเป็นความพยายามของรัฐบาลทหารที่จะทำคะแนนทางการเมือง และลดแรงกดดันจากต่างชาติ ซึ่งประเทศตะวันตกหลายประเทศใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการทูตต่อนายพลที่ปกครองประเทศ เนื่องจากการยึดอำนาจในปี 2564 และการละเมิดสิทธิมนุษยชน
“ไม่มีอะไรน่ายินดีต่อกรณีนี้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะลดแรงกดดันจากนานาชาติ” ตุน จี กล่าว
สิทธิในการเยี่ยมของครอบครัวถูกระงับไปหลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในต้นปี 2563 ภาคส่วนต่างๆ ของสังคมค่อยๆ ลดหรือยกเลิกข้อกำหนดการตรวจหาเชื้อและมาตรการต่อสู้กับโควิดตั้งแต่ปี 2565 แต่การเยี่ยมผู้ต้องขังยังคงถูกสั่งห้าม
แม้ว่าเรือนจำจะถูกมองว่าเป็นสถานที่ที่เชื้อไวรัสสามารถแพร่กระจายได้ง่ายเนื่องจากความแออัดและสุขอนามัยที่ไม่ค่อยดี แต่การห้ามเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังอย่างต่อเนื่อง ถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นวิธีการที่ต้องการทำให้นักโทษทางการเมืองเสียขวัญกำลังใจ และเน้นย้ำถึงบทลงโทษต่อผู้ท้าทายการปกครองของทหาร การชุมนุมประท้วงต่อต้านการยึดอำนาจของทหารในตอนแรกนั้นไม่รุนแรง แต่หลังจากที่พวกเขาถูกปราบปรามด้วยกำลังรุนแรง ทำให้ขบวนการต่อต้านด้วยอาวุธเกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้เคลื่อนไหวอยู่ทั่วประเทศ
สำนักงานข้อมูลของกองทัพระบุในคำแถลงที่ส่งถึงนักข่าวว่าได้เริ่มต้นอนุญาตการพบกันแบบตัวต่อตัวกับนักโทษในเรือนจำ แต่ผู้เข้าเยี่ยมต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 2 ครั้ง และต้องมีชื่ออยู่ในรายชื่อสมาชิกในครอบครัวเดียวกันกับนักโทษ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ของกฎระเบียบการเข้าเยี่ยมนั้นจะถูกติดไว้ที่ป้ายประกาศหน้าเรือนจำ.