รอยเตอร์ - เจ้าหน้าที่กัมพูชากำลังนับคะแนนเสียงเลือกตั้งหลังปิดหีบเลือกตั้งเมื่อเวลา 15.00 น. ในการเลือกตั้งแบบฝ่ายเดียววันนี้ (23) ที่เป็นการยืดเวลาการปกครองของพรรครัฐบาล ปูทางสู่การเปลี่ยนผ่านผู้นำครั้งประวัติศาสตร์และยุติการครองอำนาจของหนึ่งในนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในโลก
การแข่งขันที่มีเพียงม้าแข่งตัวเดียวคือพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ของฮุนเซน ไร้ซึ่งคู่ต่อสู้ หลังจากดำเนินการปราบปรามคู่แข่งอย่างไร้ความปรานีมานานหลายปี
คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติระบุว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิ 78.3% โดยประชาชน 7.6 ล้านคน ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักระหว่างพรรค CPP และพรรคเล็ก 17 พรรค ที่ไม่มีพรรคใดได้ที่นั่งในการเลือกตั้งปี 2561 และไม่มีผู้สังเกตการณ์จากชาติตะวันตกเข้าร่วม
ฮุนเซน วัย 70 ปี เป็นผู้นำกัมพูชามานาน 38 ปี และไม่สนใจต่อข้อวิตกของชาติตะวันตกทั้งหมดเกี่ยวกับความน่าเชื่อของการเลือกตั้ง โดยมุ่งมั่นที่จะป้องกันอุปสรรคในการเปลี่ยนผ่านอำนาจสู่ฮุน มาเนต ลูกชายคนโตของเขา
ไม่มีการกำหนดกรอบเวลาชัดเจนสำหรับการส่งต่ออำนาจจนกระทั่งเมื่อวันพฤหัสฯ ที่ฮุนเซน ได้ส่งสัญญาณว่าลูกชายของเขาอาจเป็นนายกรัฐมนตรีในเดือนหน้า ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า ฮุน มาเนต จะทำได้หรือไม่ โดยเขาจำเป็นต้องได้ที่นั่งในสภาเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น
ฮุน มาเนต วัย 45 ปี มีสีหน้ายิ้มแย้มและโพสท่าถ่ายรูปกับบรรดาผู้สนับสนุน หลังจากลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่หน่วยเลือกตั้งในกรุงพนมเปญต่อหน้าสื่อจำนวนมาก
เขาเลี่ยงคำถามเกี่ยวกับโอกาสที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี และว่าเขาจะปกครองประเทศต่างไปจากพ่อของเขาหรือไม่ โดยตอบเพียงว่า ‘ขอไม่แสดงความเห็น ผมแค่มาลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง’ พร้อมกับรอยยิ้ม
นักวิเคราะห์คาดว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในช่วงกลางเทอม ที่ให้เวลาฮุน มาเนต สร้างความชอบธรรมกับประชาชนและชนชั้นนำทางการเมือง
“การถ่ายโอนอำนาจในขณะที่เขายังแข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้ฮุนเซน สามารถปกป้องลูกชายของเขาจากความท้าทายภายในต่างๆ ได้ ตราบเท่าที่ฮุนเซนยังอยู่ ไม่มีใครต่อต้านฮุน มาเนต” ผู้ช่วยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลาโทรป และผู้แต่งหนังสือเกี่ยวกับประชาธิปไตยของกัมพูชา กล่าว
ฮุน มาเนต ให้สัมภาษณ์สื่อไม่กี่ครั้ง และไม่มีคำบอกใบ้ถึงวิสัยทัศน์ของเขาต่อกัมพูชาและประชาชน 16 ล้านคน
เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยบริสตอล ในสาขาเศรษฐศาสตร์ทั้งคู่ และเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์ ที่ช่วยให้เขาเลื่อนยศขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารบกและรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ประเทศมหาอำนาจจะจับตาดูสัญญาณต่างๆ อย่างใกล้ชิดว่าฮุน มาเนต จะยังคงรักษาสถานะเผด็จการของบิดาต่อไป หรือว่าจะเปิดเสรีมากขึ้นและเป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตกมากขึ้นหรือไม่
ประเด็นสำคัญคือเขาจะพยายามนำกัมพูชาออกจากวงโคจรของจีนหรือไม่ และจะแก้ไขความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ที่ตึงเครียดมาโดยตลอดจากการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จของพ่อของเขาหรือไม่.