MGR ออนไลน์ - เรือของหน่วยยามฝั่งจีนและเรือตรวจการณ์ด้านประมงของเวียดนาม ดูเหมือนจะเผชิญหน้ากันอย่างตึงเครียดในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาในทะเลจีนใต้ ตามข้อมูลของเว็บไซต์ติดตามเรือ Marine Traffic และพบว่าเรือทั้ง 2 ลำเข้าใกล้กันในระยะห่างกันเพียง 10 เมตร
ข้อมูลที่อิงจากสัญญาณของระบบแสดงตนอัตโนมัติ (Automatic Identification System-AIS) แสดงให้เห็นว่าเรือหน่วยยามฝั่งจีน CCG5205 และเรือ Kiem Ngu 278 ของเวียดนาม เข้าใกล้กันอย่างมากในเวลาประมาณ 7.00 น. ของวันอาทิตย์ (26) นักวิจัยในแคลิฟอร์เนียระบุ
ในช่วงบ่ายวันจันทร์ (27) จากข้อมูลติดตามชี้ว่า เรือ CCG5205 กำลังปฏิบัติการอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของมาเลเซียหลังออกจากน่านน้ำเวียดนาม โดยเรือ Kiem Ngu 278 ได้แล่นติดตามเรือจีนที่มีขนาดใหญ่กว่ามาตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค.
ณ จุดหนึ่ง เรือทั้ง 2 ลำอยู่ห่างกันไม่ถึง 10 เมตร ตามการระบุของเรย์ พาวเวลล์ หัวหน้าโครงการ Project Myoushu (ทะเลจีนใต้) ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเป็นผู้สังเกตเห็นเหตุการณ์ในทะเลดังกล่าวเป็นคนแรก
“เรือเวียดนามค่อนข้างใจกล้าเมื่อคำนึงถึงความแตกต่างของขนาดเรือ เรือจีนนั้นใหญ่กว่าถึง 2 เท่าของเรือเวียดนาม ต้องเป็นเหตุการณ์ที่ตึงเครียดอย่างมาก” พาวเวลล์กล่าว
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ที่อยู่ห่างจากสันดอนแวนการ์ด (Vanguard Bank) ไปทางใต้ราว 50 ไมล์ทะเล (92.6 กิโลเมตร) ที่เป็นจุดเปราะบางในทะเลจีนใต้ระหว่างเวียดนามและจีน
ประมาณ 90 นาทีต่อมา เรือของจีนแล่นออกจากเขตเศรษฐกิจจำเพาะของเวียดนาม ซึ่งเรืออยู่มาตั้งแต่เย็นวันศุกร์ (24)
ทั้งนี้ เขตเศรษฐกิจจำเพาะให้สิทธิพิเศษแก่รัฐในการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในน่านน้ำและในก้นทะเล
เมื่อเดือนที่ผ่านมา เรือของหน่วยยามฝั่งจีนลำเดียวกันถูกกล่าวหาว่าเข้าใกล้เรือของหน่วยยามฝั่งฟิลิปปินส์ประมาณ 137 เมตร และส่องเลเซอร์ไปที่ลูกเรือ ส่งผลให้ลูกเรือสูญเสียการมองเห็นชั่วขณะ
ในวันที่ 6 ก.พ. หน่วยยามฝั่งฟิลิปปินส์ระบุว่าเรือจีนยิงแสงเลเซอร์เกรดทหาร 2 ครั้ง มาที่เรือ BRP Malapascua ซึ่งกำลังเดินทางไปส่งอาหารและเสบียงให้กองกำลังทหารที่ประจำการอยู่บนสันดอนโธมัสที่ 2 (Second Thomas Shoal)ในทะเลจีนใต้
มะนิลายื่นประท้วงทางการทูตและกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกคำแถลงสนับสนุนพันธมิตรฟิลิปปินส์
ด้านปักกิ่งปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยกล่าวว่าเรือฟิลิปปินส์รุกล้ำเข้าไปในน่านน้ำนอกหมู่เกาะสแปรตลีย์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากจีน และเรือยามฝั่งของจีนได้ดำเนินการอย่างมืออาชีพและอดทนอดกลั้น
ในการเผชิญหน้าเมื่อวันอาทิตย์ (26) เส้นทางเดินเรือในช่วงที่ผ่านมาซึ่งปรากฏในเว็บไซต์ Marine Traffic พบว่าเรือ CCG5205 ของจีน และเรือ Kiem Ngu 278 ของเวียดนาม เข้าใกล้กันในระยะที่อาจชนกันได้
“ระยะห่างระหว่างเรือแค่ 10 เมตร ใกล้มากจนรู้สึกอันตราย ความเสี่ยงของการชนกันค่อนข้างสูง” นักวิเคราะห์การเดินเรือระดับภูมิภาคในสิงคโปร์ กล่าว
เจ้าหน้าที่อาวุโสของกองทัพเรือเวียดนามที่ปลดประจำการแล้วได้กล่าวกับเรดิโอ ฟรี เอเชีย โดยไม่ขอเปิดเผยชื่อเนื่องจากความละเอียดอ่อนของประเด็นว่า ที่เรือทั้ง 2 ลำรอดพ้นจากการชนกันได้อย่างฉิวเฉียด เพราะพวกเขาแล่นสวนทางกันและแล่นด้วยความเร็วที่ช้ามาก
“ถ้าพวกเขามุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน การชนกันจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เนื่องจากระยะที่ใกล้กันเกินไปและอันตรายเกินไป” เจ้าหน้าที่อาวุโส ระบุ และเสริมว่าในอดีตเรือจีนเคยตั้งใจชนเรือตรวจการณ์เวียดนาม แต่ไม่ใช่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้
เรือ CCG5205 ออกจากเมืองซานย่า ของเกาะไหหลำเพื่อปฏิบัติภารกิจในวันที่ 11 มี.ค. และเข้ามาในพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะของเวียดนามเป็นครั้งแรกในวันที่ 12 มี.ค.
จากนั้นเคลื่อนตัวไปยังพื้นที่ทับซ้อนระหว่างรัฐที่อ้างกรรมสิทธิ์ในทะเลจีนใต้ และเขตเศรษฐกิจจำเพาะของมาเลเซีย ก่อนเข้าเขตเศรษฐกิจจำเพาะของเวียดนามอีกหนในวันที่ 21 มี.ค. เป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง และครั้งที่ 3 ในวันที่ 24 มี.ค. ที่เรือ Kiem Ngu 278 เข้าไล่ล่า
เรือ Kiem Ngu 278 ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่าเรือเฝ้าระวังทรัพยากรประมงเวียดนาม KN-278 ประจำอยู่ที่ท่าเรือหลักในเมืองหวุงเต่า ทางใต้ของนครโฮจิมินห์
เรือ Kiem Ngu 278 ออกจากฐานในวันที่ 13 มี.ค. และติดตามเรือจีนอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่นั้น
ในเดือน ก.ค.2564 เรือ Kiem Ngu 278 ได้ติดตามเรือ CCG5202 ที่เป็นเรือของหน่วยยามฝั่งจีนอีกลำหนึ่ง ซึ่งเวียดนามกล่าวหาว่าก่อกวนกิจกรรมการสำรวจก๊าซของตน
มี 6 ประเทศที่อ้างกรรมสิทธิ์ในพื้นที่บางส่วนของทะเลจีนใต้และทรัพยากรธรรมชาติ แต่การอ้างสิทธิของจีนครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด และปักกิ่งได้พยายามขัดขวางกิจกรรมเกี่ยวกับน้ำมันและก๊าซของประเทศอื่นๆ ในน่านน้ำภายในเส้นประ 9 เส้น ที่จีนอ้างสิทธิ
เรือ Haiyang Dizhi Si Hao ที่เป็นเรือสำรวจของจีนขนาด 2,600 ตัน ลอยลำอยู่ภายในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของเวียดนามตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค. จนกระทั่งวันที่ 25 มี.ค. เรือได้ปิดสัญญาณ AIS ตามข้อมูลของ Marine Traffic ทำให้ปัจจุบันไม่ทราบว่าเรืออยู่ในตำแหน่งใด.