เอพี - เศรษฐกิจพม่าขยายตัวเพียง 3% ในปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะเติบโตในระดับเดียวกันนี้ในปี 2566 ซึ่งห่างไกลจากระดับที่เคยเป็นอยู่ก่อนที่กองทัพจะเข้ายึดอำนาจในต้นปี 2564 ธนาคารโลกระบุในรายงานที่เผยแพร่วันนี้ (30)
หน่วยงานด้านการพัฒนาระดับโลกประเมินว่าระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของพม่ายังคงต่ำกว่าระดับที่เคยเป็นมาก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 และการยึดอำนาจของกองทัพมากกว่า 10% และหากพิจารณาต่อจำนวนประชากรแล้วยิ่งห่างไกลมากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอีกตามที่คาดการณ์ไว้ การส่งออกและการลงทุนอาจอ่อนตัวลงหลังจากที่ฟื้นตัวขึ้นบ้างจากการระบาดของโควิด-19 และการหยุดชะงักที่เป็นผลจากความขัดแย้งและการคว่ำบาตรของต่างชาติหลังกองทัพขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของอองซานซูจี
การหวนกลับสู่การควบคุมของทหารหลังอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลกึ่งพลเรือนนานเกือบทศวรรษ ได้ก่อให้เกิดการชุมนุมประท้วงของผู้คนจำนวนมากที่ลุกลามเป็นการต่อต้านด้วยอาวุธ เพิ่มเติมจากความขัดแย้งที่ดำเนินมายาวนานหลายทศวรรษระหว่างรัฐบาล และกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์
“กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงถูกขัดขวางจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ และจากการขาดแคลนไฟฟ้า” รายงานระบุ
เศรษฐกิจของพม่าหดตัวราว 18% ในปี 2564 หลังจากขยายตัว 6% หรือมากกว่านั้นในปีก่อนหน้า ซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปีก่อนบ่งชี้ว่าสภาวะต่างๆ ยังคงไม่แข็งแรง
“สิ่งที่น่าประหลาดใจคือการเติบโตไม่ได้สูงขึ้นเลย การเติบโตไม่ได้ใกล้กับระดับที่เราเคยเห็นในปี 2562” คิม อลัน เอ็ดเวิร์ดส นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารโลก กล่าว
เช่นเดียวกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่นๆ พม่าต้องต่อสู้กับค่าเงินที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยมูลค่าของเงินจ๊าตลดลงราว 1 ใน 4 ในช่วงเดือน มิ.ย.-ธ.ค.ปีที่แล้ว และมีค่าไม่ถึงครึ่งหนึ่งของมูลค่าเมื่อ 2 ปีก่อนหน้านั้น ซึ่งนั่นทำให้การนำเข้าสินค้าสำคัญเช่นน้ำมันแพงขึ้นมากในแง่ของท้องถิ่น ประกอบกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายตัวสูงขึ้น รวมทั้งน้ำมันและก๊าซ ทำให้อัตราเงินเฟ้อของพม่าแตะเกือบ 20% ในเดือน ก.ค. รายงานระบุ
“ขณะที่เงินจ๊าตทรงตัวในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา การขาดแคลนเงินตราต่างประเทศยังคงมีอยู่ ซึ่งรวมถึงข้อจำกัดทางการค้าที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการจัดหาสินค้านำเข้าของธุรกิจต่างๆ” รายงานระบุ
นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกกล่าวว่า แม้มาตรการควบคุมที่กำหนดขึ้นโดยธนาคารกลางเพื่อพยุงเงินจ๊าตและปกป้องทุนสำรองระหว่างประเทศได้ผ่อนคลายลง ซึ่งทำให้เป็นเรื่องง่ายขึ้นสำหรับผู้ส่งออกที่จะได้รับสินเชื่อหรือรักษารายได้ของพวกเขา แต่หลายธุรกิจและประชาชนยังคงถูกบังคับให้ปฏิบัติตามคำสั่งให้เปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศเป็นเงินจ๊าตในอัตราทางการที่ 2,100 จ๊าตต่อดอลลาร์ ในขณะที่มูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 2,800 จ๊าต
รายงานระบุว่า ภาคการเกษตรและการผลิตเครื่องนุ่งห่มเริ่มฟื้นตัว และการกลับมาเปิดเส้นทางการค้าระหว่างพม่ากับจีนก็มีส่วนช่วย แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากประเด็นปัญหาด้านความมั่นคงอันเนื่องจากความขัดแย้งในประเทศ ที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และเกิดความล่าช้าในการขนส่งสินค้า.