เอพี - อองซานซูจี ผู้นำพม่าที่ถูกขับพ้นตำแหน่ง ได้ขึ้นให้การต่อศาลที่ห้องพิจารณาคดีของเรือนจำในกรุงเนปีดอ ในคดีละเมิดความลับทางการของเธอเป็นครั้งแรกเมื่อวันพฤหัสฯ (18) ตามการระบุของเจ้าหน้าที่กฎหมาย
ซูจี ที่ถูกควบคุมตัวตั้งแต่กองทัพขับไล่รัฐบาลของเธอเมื่อปีก่อน กำลังถูกไต่สวนในกรุงเนปีดอ พร้อมกับฌอน เทอร์เนลล์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรเลีย และอดีตสมาชิกในคณะรัฐมนตรีอีก 3 คน ในข้อหาเดียวกัน ที่มีโทษจำคุกสูงสุด 14 ปี
ซูจีปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดในคดีที่ฟ้องร้องเธอ และให้การว่าไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา เจ้าหน้าที่กฎหมายรายเดิมกล่าว
ฌอน เทอร์เนลล์ นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในซิดนีย์ เป็นที่ปรึกษาของซูจี
กฎหมายความลับทางการที่มีมาตั้งแต่ยุคอาณานิคม กำหนดให้การครอบครอง รวบรวมบันทึก เผยแพร่ หรือแบ่งปันข้อมูลรัฐ ที่เป็นประโยชน์ต่อศัตรูไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมเป็นความผิดทางอาญา
สำหรับรายละเอียดที่แน่ชัดของความผิดที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้ไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่สถานีโทรทัศน์ของพม่าที่รายงานอ้างคำแถลงของรัฐบาลระบุเมื่อปีที่แล้วว่า เทอร์เนลล์เข้าถึงข้อมูลทางการเงินของรัฐที่เป็นความลับ และพยายามหลบหนีออกนอกประเทศ
เมื่อวันจันทร์ (15) ซูจีถูกตัดสินจำคุก 6 ปี ในข้อหาทุจริตคอร์รัปชัน 4 กระทง และก่อนหน้านี้ เธอถูกศาลตัดสินโทษจำคุก 11 ปี จากความผิดในข้อหานำเข้าและครอบครองวิทยุสื่อสารอย่างผิดกฎหมาย ละเมิดข้อจำกัดโควิด-19 ปลุกระดม และข้อหาคอร์รัปชันอีกกระทงหนึ่ง ที่ทำให้โทษจำคุกทั้งหมดของเธอรวมเป็น 17 ปี และยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในข้อหาอื่นๆ อีก
ผู้สนับสนุนของเธอและนักวิเคราะห์อิสระกล่าวว่าข้อหาเหล่านี้มีแรงจูงใจทางการเมือง และเป็นความพยายามที่จะทำลายชื่อเสียงของเธอ และสร้างความชอบธรรมให้การยึดอำนาจของทหาร ขณะเดียวกัน ก็ป้องกันเธอไม่ให้กลับไปเล่นการเมือง
ทั้งนี้ ไม่มีรายละเอียดของการพิจารณาคดีในวันพฤหัสฯ เนื่องจากทนายความของซูจีถูกสั่งห้ามเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการพิจารณาคดีของซูจี จากคำสั่งปิดปากตั้งแต่ปีก่อน
เจ้าหน้าที่กฎหมายกล่าวว่า ซูจีดูมีสุขภาพดี ขณะที่ จ่อ วิน อดีตรัฐมนตรีที่เป็นจำเลยร่วมมีกำหนดขึ้นให้การศาลในสัปดาห์หน้า ส่วนเทอร์เนลล์ได้ให้การเมื่อสัปดาห์ก่อน และได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา
ทั้งนี้ ซูจียังถูกไต่สวนในข้อหาโกงการเลือกตั้ง ที่มีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี และข้อหาคอร์รัปชันอีก 7 กระทง โดยแต่ละกระทงมีโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี และปรับ
การยึดอำนาจของกองทัพเมื่อปีก่อนเผชิญกับการประท้วงอย่างสันติทั่วประเทศ แต่หลังจากกองกำลังความมั่นคงดำเนินการปราบปรามอย่างรุนแรงต่อผู้ชุมนุมประท้วง ฝ่ายต่อต้านการปกครอวของทหารบางส่วนได้หันไปใช้การต่อต้านด้วยอาวุธในหลายพื้นที่.