รอยเตอร์ - ญี่ปุ่นและเวียดนามเห็นพ้องกันที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงในวันนี้ (1) พร้อมทั้งเรียกร้องการยุติสงความในยูเครน นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่นกล่าวระหว่างเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“เราจะกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีเพื่อให้เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศกลับสู่เส้นทางการฟื้นตัวอย่างชัดเจนหลังจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” คิชิดะ กล่าวกับผู้สื่อข่าวในกรุงฮานอยหลังการประชุมกับนายกรัฐมนตรีฝ่าม มีง จีง ของเวียดนาม
นายกฯ เวียดนามกล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะส่งเสริมความร่วมมือในด้านการค้าหลังการระบาด เสริมความแข็งแกร่งให้ห่วงโซ่อุปทานและการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาด โดยเป็นไปตามผลประโยชน์ร่วมกัน
ญี่ปุ่นเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการรายใหญ่ที่สุดของเวียดนามและเป็นแหล่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศใหญ่เป็นอันดับ 3 โดยมูลค่าการค้าทวิภาคีเพิ่มขึ้น 8.4% เมื่อปี 2564 มาอยู่ที่ 42,900 ล้านดอลลาร์ ข้อมูลของศุลกากรเวียดนามระบุ
นายกฯ คิชิดะและนายกฯ จีง กล่าวว่า พวกเขายังได้หารือถึงการตอบสนองระดับภูมิภาคต่อการรุกรานยูเครนของรัสเซีย และข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ ที่จีน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ไต้หวัน มาเลเซีย และบรูไน แข่งขันอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนดังกล่าว
“เราเห็นพ้องกันว่าการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อสถานภาพปัจจุบันโดยการใช้กำลังนั้นไม่สามารถยอมรับได้ เราเห็นพ้องว่าสงครามจำเป็นต้องยุติลงทันที” คิชิดะกล่าวโดยอ้างถึงวิกฤตยูเครน ขณะที่ผู้นำเวียดนามประกาศบริจาคเงิน 500,000 ดอลลาร์เพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ยูเครนผ่านองค์กรระหว่างประเทศ
คิชิดะกล่าวว่าเขาและผู้นำเวียดนามตกลงที่จะคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อความพยายามใดๆ ก็ตามที่จะเปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันโดยใช้กำลังในทะเลจีนใต้
นอกจากนี้ ผู้นำเวียดนามกล่าวว่า ประเทศจะเริ่มส่งออกลำไยไปญี่ปุ่นในเดือน ก.ย. ตามมาด้วยผลผลิตอื่นๆ เช่น เกรปฟรุต อโวคาโด และเงาะ ขณะเดียวกันก็เปิดตลาดรับองุ่นญี่ปุ่น
คิชิดะ กล่าวว่าญี่ปุ่นจะสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานไปสู่แหล่งพลังงานอื่นๆ เช่น ชีวมวล ไฮโดรเจน และแอมโมเนียในเวียดนาม ที่มุ่งมั่นจะทำให้ประเทศเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593.
