เอเอฟพี - รัฐบาลทหารพม่าปฏิเสธอย่างเด็ดขาดต่อคำประกาศของสหรัฐฯ ที่กล่าวว่ากองกำลังทหารของประเทศฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮิงญาระหว่างการปราบปรามของทหารเมื่อ 5 ปีก่อน
ชาวโรฮิงญาหลายแสนคนหลบหนีออกจากพม่าหลังการปราบปรามในปี 2560 ที่กลายเป็นประเด็นฟ้องร้องคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ศาลสูงสุดของสหประชาชาติในกรุงเฮก
เมื่อวันจันทร์ (21) สหรัฐฯ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ความรุนแรงต่อชุมชนชาวโรฮิงญาเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยกล่าวว่ามีหลักฐานชัดเจนถึงความพยายามทำลายคนกลุ่มนี้
กระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลทหารพม่าประณามคำประกาศดังกล่าวโดยระบุว่าห่างไกลจากความเป็นจริง ในคำแถลงที่ออกเมื่อวันอังคาร (22)
“พม่าไม่เคยมีส่วนร่วมในการกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ใดๆ และไม่มีเจตนาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อที่จะทำลายกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มเชื้อชาติ กลุ่มชนในชาติ หรือกลุ่มชนทางศาสนาทั้งกลุ่มหรือบางส่วน” คำแถลงระบุ
ชาวโรฮิงญาราว 850,000 คน กำลังอิดโรยอ่อนล้าอยู่ในค่ายพักพิงในบังกลาเทศ และได้เปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับการสังหารหมู่และการข่มขืนที่เกิดขึ้นในระหว่างการปราบปราม
สมาชิกในชุมชนชาวโรฮิงญาอีก 600,000 คน ยังคงอยู่ในรัฐยะไข่ของพม่า ที่พวกเขารายงานว่ามีการกดขี่อย่างกว้างขวาง
นับตั้งแต่ขับไล่รัฐบาลของอองซานซูจีเมื่อปีก่อน รัฐบาลทหารได้ขยายการรับรู้อย่างกว้างขวางว่าชาวโรฮิงญานั้นเป็นผู้บุกรุกจากบังกลาเทศ และยังคงปฏิเสธสถานะพลเมือง สิทธิ และการเข้าถึงบริการต่างๆ ของชาวโรฮิงญา
จากเหตุการณ์การสังหารผู้คนหลายพันคนและบังคับให้คนอีกเกือบล้านต้องอพยพหลบหนีออกนอกประเทศในปี 2559 และปี 2560 แอนโทนี บลินเคน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาได้ตัดสินใจว่าสมาชิกของกองทัพพม่ากระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติต่อชาวโรฮิงญา
ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อรัฐบาลทหารและผู้นำหลายสิบคนที่ถูกคว่ำบาตรอย่างหนักอยู่แล้ว แต่บลินเคน กล่าวว่า ประกาศดังกล่าวจะสนับสนุนความพยายามในระดับโลกที่รวมถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในการฟ้องคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติกับรัฐบาลทหาร.
