เอพี - สหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ อีก 6 ประเทศ ได้ออกคำแถลงร่วมเมื่อวันศุกร์ (26) เรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศระงับความช่วยเหลือทั้งหมดแก่กองทัพพม่า และได้แสดงความวิตกกังวลถึงรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกองกำลังความมั่นคงของประเทศ
คำแถลงดังกล่าวมีขึ้นเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการยกระดับของความรุนแรงที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กองทัพของประเทศกำลังพยายามบดขยี้ขบวนการต่อต้านติดอาวุธที่เคลื่อนไหวมากขึ้นในความพยายามที่จะยุติการปกครองของทหาร
“เรากังวลเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการสะสมอาวุธและการโจมตีของกองทัพ รวมถึงการทิ้งระเบิดและการโจมตีทางอากาศ การใช้อาวุธหนัก และการส่งกำลังทหารหลายพันนายพร้อมกับสิ่งที่กองกำลังความมั่นคงยืนยันว่าเป็นปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย ที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อพลเรือน” คำแถลงระบุ
คำแถลงยังระบุถึงการละเมิดสิทธิ ที่รวมถึงรายงานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศและการทรมาน และเน้นย้ำถึงพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ที่มีรายงานว่าประชาชนหลายหมื่นคนต้องพลัดถิ่นจากการโจมตีของรัฐบาล
ประเทศที่ออกคำแถลง ซึ่งประกอบด้วยสหรัฐฯ ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ เกาหลีใต้ และอังกฤษ ได้กำหนดมาตรการห้ามขายอาวุธให้กับพม่า ที่กองทัพของประเทศเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของอองซานซูจีในเดือนก.พ. และพวกเขายังกำหนดมาตรการคว่ำบาตรทางการทูตและทางเศรษฐกิจเพื่อกดดันนายพลที่ปกครองประเทศที่อยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจแล้วด้วย
แต่มาตรการดังกล่าวช่วยฟื้นฟูประชาธิปไตยและสันติภาพได้เพียงเล็กน้อย เนื่องด้วยจีนและรัสเซียเป็นพันธมิตรของรัฐบาลทหาร และในฐานะสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ทั้งสองประเทศยังขัดขวางการดำเนินการระหว่างประเทศร่วมกันเพื่อโดดเดี่ยวเหล่านายพล นอกจากนี้ปักกิ่งและมอสโกยังเป็นผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ให้กับพม่า
คำแถลงของ 7 ประเทศที่ออกเมื่อวันศุกร์ยังเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศระงับการสนับสนุนปฏิบัติการทั้งหมดแก่กองทัพ และยุติการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ อุปกรณ์ที่ใช้ได้สองทาง และความช่วยเหลือทางเทคนิคแก่กองทัพและตัวแทนของกองทัพ
วิกฤตของพม่าทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการยึดอำนาจของกองทัพในเดือนก.พ. ที่ก่อให้เกิดการชุมนุมประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างกว้างขวาง กองกำลังความมั่นคงใช้กำลังที่รุนแรงถึงชีวิตในการปราบปรามการชุมนุมประท้วง ที่มีพลเรือนเสียชีวิตเกือบ 1,300 คน ตามการระบุขององค์กรวิจัยนักโทษการเมือง
การปราบปรามดังกล่าวทำให้ฝ่ายตรงข้ามทหารหันไปจับอาวุธ และผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติได้กล่าวว่าในขณะนี้พม่าเสี่ยงที่จะเข้าสู่สงครามกลางเมือง
เนื่องด้วยกองทัพเผชิญการต่อต้านที่เพิ่มขึ้นทั้งจากในตัวเมืองและในชนบท ทำให้มีความวิตกกันว่ากองทัพอาจเปิดฉากโจมตีอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฤดูฝนสิ้นสุดลง ที่เปิดทางให้กองทัพสามารถดำเนินการโจมตีได้ง่ายยิ่งขึ้น.