รอยเตอร์ - กองกำลังทหารพม่าเปิดฉากยิงใส่ผู้ชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐประหารในวันนี้ (7) ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 คน และได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง ตามการเปิดเผยของสื่อ ขณะที่โรงงานจีนในนครย่างกุ้งถูกเผา และนักเคลื่อนไหวเผาธงชาติจีน
ผู้ปกครองทหารของพม่ากล่าวว่า ขบวนการอารยะขัดขืนกำลังทำลายประเทศ
กลุ่มนักเคลื่อนไหวระบุว่า มีประชาชนถูกสังหารไปมากกว่า 580 คน นับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ที่ยุติช่วงเวลาสั้นๆ ของระบอบประชาธิปไตยนำโดยพลเรือน การชุมนุมประท้วงทั่วประเทศและการนัดหยุดงานประท้วงยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ทหารจะใช้กำลังรุนแรงเข้าปราบปรามฝ่ายก็ตาม
กองกำลังความมั่นคงเปิดฉากยิงใส่ผู้ชุมนุมประท้วงที่เมืองกะเล ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ขณะที่พวกเขาเรียกร้องการฟื้นฟูรัฐบาลพลเรือนของอองซานซูจี ผู้อยู่อาศัยรายหนึ่งเผยกับรอยเตอร์
สำนักข่าวรายงานอ้างคำกล่าวของพยานที่ระบุว่า มีผู้บาดเจ็บล้มตายและมีการยิงปืนเกิดขึ้นซ้ำๆ ส่วนสำนักข่าวมิซซิมาและอิรวดีกล่าวว่ามีผู้เสียชีวิต 5 คน และได้รับบาดเจ็บหลายคน แต่อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์ยังไม่สามารถตรวจสอบยอดผู้เสียชีวิตได้อย่างอิสระ
ส่วนสำนักข่าวเมียนมาร์ นาว รายงานว่า มีผู้ชุมนุมประท้วง 2 คน ถูกสังหารในเมืองพะโคใกล้ย่างกุ้ง
นอกจากนี้ ยังเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โรงงานเสื้อผ้า JOC ของจีนในย่างกุ้งวันนี้ (7) ตามการรายงานของหน่วยดับเพลิง แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ และไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับขอบเขตของความเสียหาย
ในอีกย่านหนึ่งของย่างกุ้ง นักเคลื่อนไหวจุดไฟเผาธงชาติจีน ตามรูปภาพที่โพสต์ลงบนเฟซบุ๊ก
จีนถูกมองว่าให้การสนับสนุนรัฐบาลทหาร และเมื่อเดือนก่อนมีการลอบวางเพลิงโจมตีโรงงานที่จีนลงทุนถึง 32 แห่งในย่างกุ้ง
พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย หัวหน้าคณะรัฐบาลทหาร กล่าวในคำแถลงที่เผยแพร่ในวันพุธว่า ขบวนการอารยะขัดขืนหรือ CDM ทำให้การทำงานของโรงพยาบาล โรงเรียน ถนน สำนักงาน และโรงงานหยุดชะงัก
“แม้การชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมระหว่างประเทศ แต่พวกเขาก็ไม่ทำลายธุรกิจต่างๆ CDM เป็นกิจกรรมที่ทำลายประเทศ” พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย
สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองระบุว่า มีประชาชน 581 คน รวมทั้งเด็กหลายสิบคน ถูกยิงเสียชีวิตโดยกองกำลังทหารและตำรวจในเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นเกือบทุกวันนับตั้งแต่การรัฐประหาร และกองกำลังความมั่นคงได้จับกุมผู้คนไปเกือบ 3,500 คน โดยยังอยู่ในความควบคุมถึง 2,750 คน
ความสามารถในการจัดการรณรงค์ของขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหารที่นำโดยเยาวชนเป็นส่วนใหญ่และการแชร์ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์และระบบส่งข้อความ ถูกขัดขวางจากการจำกัดอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ไร้สายและบริการข้อมูลมือถือ ขณะที่บริการโทรศัพท์พื้นฐาน ซึ่งมีใช้งานอยู่ไม่กี่คนในพม่ายังสามารถใช้งานได้
ผู้ก่อตั้ง NetBlocks องค์กรสังเกตการณ์การปิดกั้นอินเทอร์เน็ต กล่าวว่า นับต้งแต่การรัฐประหาร พม่ากลายเป็นสถานที่ที่ไร้ข้อมูลข่าวสาร การสื่อสารในพม่าเวลานี้ถูกจำกัดอย่างรุนแรงและมีให้บริการเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น
ขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศถูกระงับ ผู้ชุมนุมประท้วงได้พยายามหาวิธีแก้ปัญหาเพื่อให้พวกเขาสามารถส่งข้อความได้ โดยพวกเขาได้จัดทำแผ่นพับข่าวสารรายวันขนาด A4 ส่งต่อกันในรูปแบบดิจิทัลและพิมพ์แจกจ่ายกันในหมู่ประชาชน
ทางการยังออกหมายจับคนอีกหลายร้อยคน ที่รวมทั้งนักแสดง นักดนตรี ผู้ให้ความบันเทิง และอินฟลูเอนเซอร์บนสื่อสังคมออนไลน์
ซากะนา นักแสดงตลกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศก็ถูกจับกุมตัวไปเมื่อวันอังคาร ตามการรายงานของสื่อ
เมื่อวันอังคาร (6) ดร.ซาซา ที่เป็นผู้นำรัฐบาลคู่ขนานของฝ่ายบริหารของซูจีที่เหลืออยู่ ระบุในคำแถลงว่า ที่ปรึกษาทางกฎหมายของคณะจะยื่นหลักฐานการสังหารโหดของทหารไปยังหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ
ดร.ซาซา กล่าวว่า ทนายความของคณะกรรมการผู้แทนสภาแห่งสหภาพ (CRPH) ได้รับหลักฐาน 180,000 รายการ และจะพบหารือกับผู้แทนของกลไกการสอบสวนอิสระว่าด้วยพม่าในวันพุธ (7)
ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศของอินโดนีเซียระบุว่า ได้พบหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษในกรุงจาการ์ตา โดยพวกเขาได้หารือว่าอังกฤษและประชาคมโลกจะสามารถช่วยเหลือความพยายามของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการแก้ไขวิกฤตในพม่าได้อย่างไร
ทั้งนี้ อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผลักดันให้มีการเจรจาระดับสูงเกี่ยวกับพม่า
ประเทศตะวันตกรวมทั้งสหรัฐฯ อังกฤษ และออสเตรเลีย ได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรกับเครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่ของทหารเพื่อตอบโต้การรัฐประหาร การควบคุมตัว และการใช้กำลังอย่างร้ายแรงต่อผู้ชุมนุมประท้วง และคาดว่าสหภาพยุโรปจะดำเนินการตาม
ส่วนรัสเซีย ที่แสดงการสนับสนุนสภาบริหารแห่งรัฐของทหารพม่า กล่าวว่า ตะวันตกเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองในประเทศจากการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรกับรัฐบาลทหาร
ฟิทช์ โซลูชั่น ระบุในรายงานว่า การคว่ำบาตรของตะวันตกเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูประชาธิปไตย และคาดการณ์ว่าในระยะกลางจะเกิดการปฏิวัติอย่างรุนแรงระหว่างทหารและฝ่ายตรงข้ามที่ประกอบด้วยสมาชิกของขบวนการต่อต้านการรัฐประหารและกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์
กองกำลังชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์บางกลุ่มที่ควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของชายแดน กล่าวว่าพวกเขาไม่สามารถยืนอยู่ฝั่งเดียวกับรัฐบาลทหารที่สังหารประชาชนได้
ฟิทช์ กล่าวว่า พม่ากำลังมุ่งไปสู่การเป็นรัฐที่ล้มเหลว
“ความรุนแรงที่ยกระดับขึ้นกับพลเรือนและกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์แสดงให้เห็นว่ากองทัพกำลังสูญเสียการควบคุมประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ” ฟิทช์ ระบุ และเสริมว่าประชากรส่วนใหญ่ของประเทศสนับสนุนรัฐบาลคู่ขนาน.