MGR Online - เผยเหตุที่กองทัพสหรัฐว้าไม่มีท่าทีใดๆ ต่อการรัฐประหารของกองทัพพม่า เพราะ “เป่าโหย่วเสียง” ผบ.UWSA ไปอยู่ในจีนตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเพื่อรักษาสุขภาพ เพิ่งกลับมาถึงป๋างซางไม่กี่วันนี้
เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา The Kachin Post สำนักข่าวที่เสนอเนื้อหาครอบคลุมพื้นที่ชายแดนพม่า-จีน-อินเดีย มีรายงานว่า เป่าโหย่วเสียง ประธานพรรคสหรัฐว้า (United Wa State Party : UWSP) และผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army : UWSA) เพิ่งเดินทางกลับมาถึงเมืองป๋างซาง เมืองหลวงของเขตพิเศษหมายเลข 2 สหรัฐว้า เมื่อไม่กี่วันมานี้ หลังจากใช้เวลาเกือบ 3 เดือนอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อรักษาสุขภาพ
Kachin Post อ้างแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับครอบครัวของเป่าโหย่วเสียง บอกว่า ผบ. UWSA ได้เดินทางเข้าไปในจีนเมื่อตอนสิ้นปี หลังเพิ่งเกิดการระบาดของโควิด-19 ในเขตว้าได้ไม่นาน ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่เมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้นโดยกองทัพพม่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ สหรัฐว้าจึงเงียบ ไม่แสดงท่าทีใดๆ เกี่ยวกับการรัฐประหารครั้งนี้ออกมาให้บุคคลทั่วไปได้รับทราบ
รายงานข่าวของ The Kachin Post เผยแพร่ออกมาพร้อมๆ กับที่ประชาคมชาวว้า 10 กลุ่ม ในพม่า รวมตัวกันทำจดหมายเปิดผนึกส่งถึง “เป่าโหย่วเสียง” ในวันที่ 25 มีนาคม
เนื้อหาในจดหมาย ประชาคมชาวว้าเรียกร้องต่อ UWSP และ UWSA อย่านิ่งเฉยต่อการรัฐประหารของกองทัพพม่า ให้ออกมาปกป้องชาวว้าและชาติพันธุ์อื่นๆ ไม่ให้ถูกทำร้ายหรือถูกกดขี่ข่มเหงจากตำรวจ-ทหาร รวมถึงแสดงจุดยืนให้ทุกคนได้รู้ว่าคิดอย่างไรต่อแนวทางการปกครองระบอบสหพันธรัฐที่หลายชาติพันธุ์ต้องการ
อย่างไรก็ตาม ผู้สันทัดกรณีเกี่ยวกับเรื่องว้า ระบุว่า สหรัฐว้าไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทีใดๆ ต่อการรัฐประหาร เพราะสหรัฐว้ามีการปกครองที่เป็นเอกเทศ ไม่ได้ขึ้นต่อพม่าอยู่แล้ว
โดยนับแต่กองทัพสหรัฐว้าเซ็นสัญญาสันติภาพกับรัฐบาลสหภาพพม่าเมื่อปี 2532 กองทัพสหรัฐว้าได้ปกครองพื้นที่เขตพิเศษหมายเลข 2 แบบเป็นอิสระมาโดยตลอด หน่วยงานปกครองของพม่า ไม่ว่าเป็นทหารหรือตำรวจ ไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ การติดต่อระหว่างสหรัฐว้ากับรัฐบาลพม่า เป็นคล้ายรูปแบบทางการทูตระหว่างประเทศ แม้ว่าตามรัฐธรรมนูญปี 2008 กำหนดให้สหรัฐว้าเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่าก็ตาม
เขตพิเศษหมายเลข 2 สหรัฐว้า ตั้งอยู่ชายแดนรัฐชาน-จีน ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน ตรงข้ามกับเขตปกครองตนเองชนชาติไต ลาหู่ และว้า เมิ่งเหลียน จังหวัดผูเอ่อร์ มณฑลยูนนาน
ในข่าวของ The Kachin Post เอง ก็ได้สัมภาษณ์นักธุรกิจในป๋างซางผู้หนึ่ง บอกว่าหลังการรัฐประหาร สถานการณ์ในเขตว้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ประชาชนที่อยู่ในเขตพิเศษหมายเลข 2 ส่วนใหญ่รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ขึ้นกับรัฐบาลพม่า
พื้นที่สหรัฐว้า ได้ตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 ทันทีที่ตรวจพบ ฝ่ายปกครองว้าได้ประกาศล็อกดาวน์โดยทันที ห้ามไม่ให้มีใครเดินทางเข้าออกในพื้นที่อย่างเด็ดขาด โดยให้มีผลไปถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงหลังเกิดการรัฐประหารไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ว้าได้ปิดชายแดนที่ติดต่อกับเขตอื่นๆ ของรัฐชาน แต่พื้นที่ชายแดนที่ติดต่อกับจีนยังคงเปิดอยู่ตลอด เนื่องจากว้าต้องได้รับความช่วยเหลือในการต่อสู้กับโควิด-19 จากจีน
ยอดรวมผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ว้ามีประมาณ 160 คน ตัวเลขนี้ไม่ได้ถูกนับรวมกับยอดผู้ติดเชื้อทั่วประเทศที่กระทรวงสาธารณสุขและกีฬาพม่า ประกาศออกมาในแต่ละวัน และกระทรวงสาธารณสุขและกีฬา ก็ไม่ได้ส่งแพทย์เข้ามาให้การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในเขตว้าอีกด้วย
ก่อนที่ว้าจะพบผู้ป่วยโควิด-19 เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2563 กองกาชาดเมิ่งเหลียน ได้นำอุปกรณ์ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT/PCR มูลค่า 3,140,000 หยวน หรือประมาณ 477,421 ดอลลาร์สหรัฐ มามอบให้แก่ฝ่ายสาธารณสุขของว้า เพื่อช่วยเหลือภารกิจป้องกันโควิด-19 ในเขตว้า
หลังตรวจพบผู้ติดเชื้อ กองกาชาดจากเมิ่งเหลียนได้ส่งเจ้าหน้าที่มาให้การช่วยเหลือ ตั้งจุดคัดกรองตรวจหาเชื้อ และตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อให้การรักษา จนทำให้พื้นที่สหรัฐว้า เป็นเขตปลอดโควิด-19 ในอีกประมาณ 2 เดือนถัดมา
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพจ Wa Nation society lifestyle ได้โพสต์คลิปการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ จากนั้นอีก 2 วัน ได้โพสต์คลิปการสัญจรบนถนนในเขตว้าที่กลับมาเป็นปกติ รวมถึงคลิปการประชุมหน่วยทหาร UWSA ที่เขียนบรรยายสั้นๆ ว่า เป็นการยกย่องชัยชนะในการต่อสู้กับโควิด-19
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ เพจเดียวกันได้โพสต์ภาพกราฟิก เป็นรูปมือที่แสดงสัญลักษณ์ธงชาติว้าและจีน กำลังจับมือกัน เขียนคำบรรยายสั้นๆเป็นภาษาพม่าว่าขอบคุณวัคซีน และคำบรรยายภาษาจีนว่า คณะแพทย์จีนได้เดินทางมาถึงว้าแล้ว และขอบคุณประเทศจีนที่สนับสนุนกลุ่มว้า