รอยเตอร์ - บริษัทต่างชาติควรระงับธุรกิจทั้งหมดในพม่าเพื่อส่งข้อความที่ชัดเจนถึงกองทัพว่าการรัฐประหารจะทำร้ายประชาชนและทำลายเศรษฐกิจของประเทศ อดีตผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับพม่าของสหประชาชาติระบุ
คริส ซิโดติ เป็นหนึ่งในคณะสืบสวนข้อเท็จจริงนำโดยสหประชาชาติ ที่ในปี 2562 ได้เรียกร้องให้บริษัทต่างชาติตัดความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับทหารพม่าเนื่องจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน และติดตามการลงทุนของภาคเอกชนที่นั่น
จุดยืนดังกล่าวแข็งกร้าวขึ้นนับตั้งแต่การรัฐประหารวันที่ 1 ก.พ. และการปราบปรามนองเลือดต่อผู้ชุมนุมประท้วง ซิโดติ กล่าว และเนื่องจากทหารได้เข้ายึดอำนาจควบคุมประเทศที่เคยปกครองมานานเกือบครึ่งศตวรรษอีกครั้ง ทำให้ตอนนี้มีความเสี่ยงต่อการทำธุรกิจใดๆ ในพม่า
“หากธุรกิจต่างๆ มีความรับผิดชอบ พวกเขาจะระงับทุกอย่างไว้ ณ จุดนี้” ซิโดติ ที่ได้ตั้งกลุ่มที่ปรึกษาอิสระว่าด้วยพม่ากับอดีตผู้ไต่สวนของสหประชาชาติบางคน กล่าว
“มันจะส่งข้อความที่ชัดเจนอย่างมากต่อทหาร ที่หวังว่าอาจทำให้พวกเขาทบทวนการกระทำของตนเอง ประเทศไม่สามารถกลับสู่การปกครองเผด็จการทหารได้โดยที่ประชาชนไม่ได้รับอันตราย” ซิโดติ กล่าวกับรอยเตอร์
รัฐบาลทหารระบุว่า พวกเขาเข้าควบคุมประเทศ เพราะการร้องเรียนเกี่ยวกับการโกงการเลือกตั้งในเดือน พ.ย. ถูกเพิกเฉย และกองทัพได้ให้คำมั่นว่าจะจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่ไม่ได้กำหนดกรอบเวลา
นักเคลื่อนไหวเพิ่มแรงกดดันต่อกิจการของต่างชาติที่ทำธุรกิจอยู่ในพม่า ที่พวกเขากล่าวว่าอาจเป็นช่องทางเงินทุนให้แก่ทหาร ที่ประกอบด้วยกิจการด้านพลังงาน ธนาคารระหว่างประเทศ ยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรม และแบรนด์ผู้บริโภคต่างๆ
คิริน ผู้ผลิตเครื่องดื่มสัญชาติญี่ปุ่น กล่าวเมื่อเดือนก่อนว่า กำลังออกจากการร่วมทุนกับบริษัทที่ทหารเป็นเจ้าของ ขณะที่บริษัทวู้ดไซด์ ปิโตรเลียม ของออสเตรเลีย กล่าวว่า กำลังลดการปรากฏตัวในพม่า ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมประท้วง
ซิโดติไม่ได้เรียกร้องให้รัฐบาลประเทศต่างๆ กำหนดมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง โดยระบุว่า จะต้องใช้เวลาทั้งในการกำหนดมาตรการและการยกเลิกมาตรการ
เมื่อรอยเตอร์ถามถึงผลกระทบจากการระงับธุรกิจที่อาจเกิดขึ้นต่อการดำรงชีวิตในพม่า ซิโดติ กล่าวว่า “เป็นนายพลและการรัฐประหารที่กำลังบ่อนทำลายความเป็นอยู่ของประชาชนในพม่า ไม่ใช่สิ่งอื่น และสิ่งที่ช่วยและส่งเสริมให้ทหารยังคงมีอำนาจต่อไปได้ ควรหลีกเลี่ยง ณ จุดนี้”.