รอยเตอร์ - ฝ่ายบริหารของทรัมป์ ระบุว่า การกระทำของเวียดนามในการกดมูลค่าสกุลเงินของตัวเองนั้น ‘ไม่สมเหตุสมผล’ และจำกัดการค้าของสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงไม่ดำเนินการกำหนดอัตราภาษีตอบโต้ในทันที
ในการเผยแพร่ผลการสอบสวนตาม ‘มาตรา 301’ ต่อแนวปฏิบัติด้านสกุลเงินของเวียดนาม สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ระบุว่า หน่วยงานจะยังคงประเมินตัวเลือกที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อแก้ไขสถานการณ์ กระบวนการที่จะส่งต่อให้แก่ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่จะเข้ารับตำแหน่งในวันพุธ
ในเดือน ธ.ค. กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า เวียดนามเป็นประเทศบิดเบือนค่าเงิน เนื่องจากมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดทั่วโลกเป็นจำนวนมาก และแทรกแซงตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างหนัก เพื่อกดมูลค่าของสกุลเงินด่ง
กลุ่มธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าวิตกกังวลว่า สิ่งนี้จะปูทางสู่การกำหนดอัตราภาษี หลังจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เปิดสอบสวนในเดือน ต.ค.
สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ระบุว่า ได้ปรึกษากับกระทรวงการคลังเกี่ยวกับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของเวียดนาม
“การดำเนินการ นโยบาย และการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม มีส่วนทำให้ค่าเงินต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นอันตรายต่อแรงงานและธุรกิจของสหรัฐฯ และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ผมหวังว่าสหรัฐฯ และเวียดนามจะพบหนทางในการแก้ไขข้อวิตกกังวลของเรา” โรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ระบุในคำแถลง
การสอบสวนตามมาตรา 301 เป็นเครื่องมือเดียวกับที่ไลท์ไฮเซอร์ใช้ทำสงครามภาษีกับจีน ที่สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีน คิดเป็นมูลค่า 370,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และส่งผลให้หลายบริษัทย้ายซัปพลายเชนออกจากจีน ซึ่งเวียดนามได้รับประโยชน์จากการลงทุนจากบรรดาบริษัทที่ต้องการเลี่ยงภาษีของสหรัฐฯ กับจีนดังกล่าว
การตัดสินใจของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในการชะลอคำสั่งกำหนดอัตราภาษีกับสินค้าของเวียดนาม ทำให้ แคทเธอรีน ไท่ ที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ของรัฐบาลไบเดน มีพื้นที่หายใจในการตัดสินใจว่าจะดำเนินการกับเวียดนามอย่างไร
ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นคู่ขนานไปกับการตัดสินใจอื่นๆ ของหน่วยงานการค้าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เกี่ยวกับการกำหนดอัตราภาษีกับฝรั่งเศส ออสเตรีย อังกฤษ อิตาลี สเปน อินเดีย และตุรกี เพื่อตอบโต้การเก็บภาษีบริการดิจิทัลของประเทศเหล่านั้น.