เมืองโบราณมรัคอูเสี่ยงหนักพม่าส่งบินรบโจมตีกลุ่มกบฏอาระกัน

เอเอฟพี - การสู้รบระหว่างกองทัพพม่าและกลุ่มกบฏชาติพันธุ์ยะไข่ทวีความรุนแรงขึ้นอีกในเมืองมรัคอู เมืองที่เต็มไปด้วยโบราณสถานของรัฐทางตะวันตกของประเทศ ตามการยืนยันของแหล่งข่าววันนี้ (10) พร้อมกับรายงานเกี่ยวกับเครื่องบินรบที่บินว่อนอยู่เหนือเมือง

รัฐยะไข่เต็มไปด้วยปัญหาความแตกแยกทางศาสนาและชาติพันธุ์ และเป็นศูนย์กลางของการปราบปรามทางทหารอย่างรุนแรงในปี 2560 ที่บังคับให้ชาวมุสลิมโรฮิงญาราว 740,000 คน ต้องอพยพข้ามพรมแดนไปฝั่งบังกลาเทศ

แต่กองทัพในเวลานี้กำลังต่อสู้กับกองทัพอาระกัน (AA) กลุ่มที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของชาวพุทธชาติพันธุ์ยะไข่ และพยายามแสวงหาการปกครองตนเองมากขึ้น

กองทัพอาระกันสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างน้อย 22 นาย นับตั้งแต่การสู้รบเกิดขึ้นในเดือน ม.ค. ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลกล่าวว่า สมาชิกกลุ่มกบฏหลายสิบคนถูกสังหาร

กองกำลังทหารหลายพันนายถูกระดมลงพื้นที่เพื่อพยายามที่จะควบคุมความไม่สงบที่กำลังแพร่กระจายไปสู่พื้นที่อื่นๆ

เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน การสู้รบลุกลามไปถึงเมืองมรัคอู (Mrauk U) เมืองหลวงโบราณของอาณาจักรยะไข่ และสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่กล้าหาญไม่หวั่นเกรงอันตรายเพื่อชมวัดและเจดีย์โบราณที่มีอยู่มากมาย

ขิ่น ตัน ชาวเมืองมรัคอู กล่าวทางโทรศัพท์ว่า การสู้รบเริ่มขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. ของวันอังคาร (9) และเลวร้ายลงกว่าครั้งก่อน

“มันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนหวาดกลัวที่จะออกจากบ้าน” ขิ่น ตัน กล่าว และอธิบายว่า พื้นดินสั่นสะเทือนจากเสียงคำรามของเครื่องบินรบ

โฆษกกองทัพอาระกัน กล่าวว่า พวกเขากลับเข้าไปในเมืองมรัคอูอีกหนในคืนวันอังคารเพื่อตอบโต้การระดมยิงปืนใหญ่

“ทหารพม่าทิ้งระเบิดจากเครื่องบินรบและเฮลิคอปเตอร์” โฆษกกองทัพอาระกัน กล่าว

พ.อ.วิน ซอ อู โฆษกทหารยืนยันเหตุปะทะที่เกิดขึ้นแต่ไม่ได้ให้รายละเอียดอื่นใดเพิ่มเติม

ทหารให้คำมั่นว่าจะบดขยี้กลุ่มกบฏ ที่ตั้งกลุ่มขึ้นราว 10 ปีก่อน และได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากชาวพม่าชาติพันธุ์ยะไข่จำนวนมาก

กองทัพอาระกันได้โพสต์ข้อความแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 10 ปี ลงบนเว็บไซต์ของกลุ่มที่ได้รับจากกลุ่มกบฏพันธมิตรที่มีฐานอยู่อีกฝั่งหนึ่งของประเทศ

ประชาชนราว 26,000 คน ถูกบังคับให้ต้องละทิ้งบ้านเรือนเนื่องจากการต่อสู้ทั่วรัฐยะไข่ และในรัฐชินที่อยู่ติดกัน ขณะที่กลุ่มช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ประเมินว่ามีประชาชนราว 95,000 คน ได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดการเคลื่อนไหวที่ตั้งขึ้นใหม่.