เอเอฟพี - การต่อสู้ระหว่างทหารพม่าและกลุ่มก่อความไม่สงบชาติพันธุ์ยะไข่ เวลานี้ลุกลามเข้าไปถึงเขตพื้นที่โบราณสถานเมืองมรัคอู (Mrauk U) อดีตเมืองหลวงของอาณาจักรมรัคอู ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในรัฐยะไข่ ตามการเปิดเผยของชาวบ้านวานนี้ (19)
รัฐยะไข่ ที่อยู่ทางภาคตะวันตกของพม่า เต็มไปด้วยความแตกแยกทางศาสนาและชาติพันธุ์ รัฐแห่งนี้ตกอยู่ในความสนใจของทั่วโลกหลังเหตุการณ์การปราบปรามของทหารในปี 2560 ที่บังคับให้ชาวมุสลิมโรฮิงญามากกว่า 740,000 คน ต้องอพยพหลบหนีข้ามพรมแดนเข้าไปในบังกลาเทศ
แต่เวลานี้ กองทัพพม่ากำลังทำสงครามกับกองทัพอาระกัน (AA) กลุ่มติดอาวุธที่ต่อสู้เรียกร้องการปกครองตนเองเพื่อชาวพุทธยะไข่ ประชากรที่ถูกกล่าวหาว่าให้ความช่วยเหลือทหารขับไล่ชาวโรฮิงญา
ประชาชนหลายพันคนต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นจากความรุนแรงที่แพร่กระจายและเข้าใกล้เมืองสิตตะเว เมืองเอกของรัฐ และเวลานี้กำลังแผ่คลุมไปทั่วเมืองมรัคอู
“เราได้ยินเสียงปืนและปืนใหญ่ดังขึ้นตั้งแต่ช่วง 19.30 น.” ขิ่น ตัน นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น กล่าวกับเอเอฟพีทางโทรศัพท์ และเสริมว่าเธอเห็นทหารยิงปืนออกจากรถราว 10 คัน ขณะขับไปรอบเมือง
“เราไม่กล้าออกไปข้างนอก ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในบ้าน เราไม่ต้องการให้สมบัติโบราณของเราถูกทำลายจากการสู้รบ” ขิ่น ตัน กล่าว
นอกจากคนท้องถิ่นที่ต้องเสี่ยงภัยแล้ว ยังมีชาวโรฮิงญาอีกราว 600,000 คน ที่ยังคงอาศัยอยู่ในรัฐยะไข่โดยไร้ซึ่งสถานะพลเมืองและถูกจำกัดให้อยู่แต่ในค่ายหรือหมู่บ้านของตัวเอง การสู้รบในช่วงสุดสัปดาห์เกิดขึ้นรอบเมืองเจ๊าตอ (Kyauk Taw) และมีชาวโรฮิงญาได้รับบาดเจ็บ 3 คน
“เราติดอยู่ตรงกลาง ชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บไม่สามารถออกไปรักษาตัวที่ไหนได้ เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เราทำอะไรไม่ได้เลย” ชายโรฮิงญาคนหนึ่งกล่าวกับเอเอฟพี
ทหารเพิ่มปฏิบัติการปราบปรามกองทัพอาระกัน หลังกลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้เปิดฉากโจมตีด่านตำรวจในต้นเดือน ม.ค. และทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิตไป 13 นาย
เมื่อวันเสาร์ (16) กองทัพอาระกันได้ซุ่มโจมตีเรือสินค้าในแม่น้ำกาลาดัน ลักพาตัวลูกเรือและเผาเรือ ตามการรายงานของหนังสือพิมพ์โกลบอลนิวไลท์ออฟเมียนมาร์
กลุ่มติดอาวุธได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากชาวยะไข่ ที่รู้สึกว่าตนเองเป็นคนชายขอบมานานหลายสิบปีในรัฐที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ กลุ่มขยายกองกำลังตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกลุ่มในปี 2552 และเวลานี้เชื่อว่ามีกองกำลังอยู่หลายพันคน.